การปรับตัวของ WORKPOINT ในยุควิกฤติสื่อทีวี
6 เม.ย. 2020
ย้อนกลับไปเกือบ 3 ปีที่แล้ว WORKPOINT เคยมีมูลค่าบริษัทสูงถึง 34,000 ล้านบาท
แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 2,781 ล้านบาท ลดลงไปถึง 92% เลยทีเดียว
แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 2,781 ล้านบาท ลดลงไปถึง 92% เลยทีเดียว
ขณะที่ในปี 2562 บริษัทมีรายได้ 2,835 ล้านบาท ลดลง 22% หากเทียบกับปีก่อน
ส่วนกำไรอยู่ที่ 159 ล้านบาท ลดลง 54%
ส่วนกำไรอยู่ที่ 159 ล้านบาท ลดลง 54%
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้รายได้และกำไรหดหายมาจากเรตติ้งรายการต่างๆ ลดน้อยลง
ผลร้ายที่ตามมาก็คือ รายได้หลักอย่างขายโฆษณาทีวีที่คิดเป็น 77% จากรายได้ทั้งหมด ลดลงตามลงไปด้วย
ผลร้ายที่ตามมาก็คือ รายได้หลักอย่างขายโฆษณาทีวีที่คิดเป็น 77% จากรายได้ทั้งหมด ลดลงตามลงไปด้วย
ซึ่งในปีที่ผ่านมา รายได้จากการขายโฆษณาทีวี 2,193 ล้านบาท ลดลง 26% หากเทียบกับปีที่ผ่านมา
รายได้และกำไรที่หายไป หลายคนอาจคิดว่า WORKPOINT กำลังเดินเกมธุรกิจผิดพลาด
แต่จริงๆ แล้วหากเรามองให้กว้างไปถึงภาพใหญ่ก็จะพบว่า
แต่จริงๆ แล้วหากเรามองให้กว้างไปถึงภาพใหญ่ก็จะพบว่า
ณ วันนี้ 5 ช่องที่มีอันดับเรตติ้งสูงสุดในอุตสาหกรรมทีวีเมืองไทย
จะมีเพียงช่อง 7 กับ WORKPOINT เท่านั้นที่ยังมีกำไรในธุรกิจนี้
จะมีเพียงช่อง 7 กับ WORKPOINT เท่านั้นที่ยังมีกำไรในธุรกิจนี้
ความจริงที่โหดร้ายนี้ กำลังจะบอกอะไรกับเรา?
ณ วันนี้ใช่ว่าการทำธุรกิจทีวีแล้วมีเรตติ้งดี จะการันตี “กำไร” เป็นกอบเป็นกำ เหมือนอย่างในอดีต
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือช่อง 3 แม้เรตติ้งปีที่ผ่านมาจะอยู่อันดับ 2 รองจากช่อง 7
แต่ก็ยังขาดทุน 397 ล้านบาท
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือช่อง 3 แม้เรตติ้งปีที่ผ่านมาจะอยู่อันดับ 2 รองจากช่อง 7
แต่ก็ยังขาดทุน 397 ล้านบาท
ซึ่งหากย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
ช่อง 3 ก็มีเรตติ้งอันดับ 2 เช่นกัน แต่ก็ยังมีกำไรถึง 1,218 ล้านบาท
ช่อง 3 ก็มีเรตติ้งอันดับ 2 เช่นกัน แต่ก็ยังมีกำไรถึง 1,218 ล้านบาท
เพราะเวลานี้ สื่อทีวีไม่ได้ทรงอิทธิพลเหมือนอย่างในอดีต
ด้วยการที่มีสื่อออนไลน์มาแย่งชิงเม็ดเงินโฆษณาจากสื่อทีวี
ซ้ำร้ายก็ยังมีช่องทีวีเพิ่มมากขึ้นจากยุคอนาล็อกที่มีแค่ 6 ช่อง แต่ปัจจุบันมีถึง 18 ช่อง
ด้วยการที่มีสื่อออนไลน์มาแย่งชิงเม็ดเงินโฆษณาจากสื่อทีวี
ซ้ำร้ายก็ยังมีช่องทีวีเพิ่มมากขึ้นจากยุคอนาล็อกที่มีแค่ 6 ช่อง แต่ปัจจุบันมีถึง 18 ช่อง
อธิบายง่ายๆ ก็คือ เค้กโฆษณาที่ชื่อว่าทีวีชิ้นเล็กลง แต่กลับมีคนแย่งชิงเค้กมากขึ้น
ซึ่งเรื่องทั้งหมด ก็เป็นสิ่งที่ทีมผู้บริหาร WORKPOINT รู้ดี
เพราะต่อให้อนาคต ตัวเองมีเรตติ้งขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมทีวี
ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะมีกำไรในธุรกิจนี้หรือไม่
เพราะต่อให้อนาคต ตัวเองมีเรตติ้งขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมทีวี
ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะมีกำไรในธุรกิจนี้หรือไม่
จึงทำให้ WORKPOINT มีการปรับตัวในการทำธุรกิจ
โดยหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดก็คือการลดต้นทุนตัวเอง
โดยหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดก็คือการลดต้นทุนตัวเอง
ซึ่งในปีที่ผ่านมา WORKPOINT มีต้นทุนในการผลิตรายการทั้งของช่องตัวเอง
และรับจ้างผลิตรายการให้คนอื่นอยู่ที่ 1,754 ล้านบาท
ซึ่งลดลงมากถึง 21% หากเทียบกับปีที่ผ่านมา
และรับจ้างผลิตรายการให้คนอื่นอยู่ที่ 1,754 ล้านบาท
ซึ่งลดลงมากถึง 21% หากเทียบกับปีที่ผ่านมา
แต่เท่านี้ดูจะไม่เพียงพอ เพราะหากเราอยู่ในสถานการณ์เหมือน WORKPOINT
ที่รายได้หลักมีแนวโน้มพร้อมที่จะลดลงเรื่อยๆ ในทุกๆปี
ที่รายได้หลักมีแนวโน้มพร้อมที่จะลดลงเรื่อยๆ ในทุกๆปี
เราก็ต้องไปเพิ่มรายได้ในส่วนอื่นๆ เข้ามาทดแทนรายได้หลักที่หายไป
แรกสุดอย่างที่เรารู้กันดีก็คือ WORKPOINT มีสื่อออนไลน์ของตัวเอง
ทั้งใน Facebook และ Youtube
ทั้งใน Facebook และ Youtube
แต่ที่หลายคนยังไม่รู้ และกำลังเป็นความหวังใหม่ในการสร้างรายได้ให้แก่บริษัท
ก็คือธุรกิจใหม่ด้วยการเป็นช่องทีวี ที่มีแบรนด์สินค้าความงาม 2 แบรนด์เป็นของตัวเอง
คือ “Let Me In BEAUTY” ที่นำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้ และแบรนด์ “Me Vio”
ก็คือธุรกิจใหม่ด้วยการเป็นช่องทีวี ที่มีแบรนด์สินค้าความงาม 2 แบรนด์เป็นของตัวเอง
คือ “Let Me In BEAUTY” ที่นำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้ และแบรนด์ “Me Vio”
ซึ่งหากสังเกต WORKPOINT กำลังจริงจังกับธุรกิจนี้มาก
เมื่อขยายเวลาขายสินค้ามาเป็น 80 นาที/วัน ในช่องของตัวเอง
พร้อมกับเพิ่มช่องทางการขายมากขึ้นจากแต่เดิมคือขายผ่าน 1346 Hello Shop ที่เป็นรายการประเภท TV Shopping แต่เวลานี้มีการเปิดรับตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
เมื่อขยายเวลาขายสินค้ามาเป็น 80 นาที/วัน ในช่องของตัวเอง
พร้อมกับเพิ่มช่องทางการขายมากขึ้นจากแต่เดิมคือขายผ่าน 1346 Hello Shop ที่เป็นรายการประเภท TV Shopping แต่เวลานี้มีการเปิดรับตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
ซึ่งก็ดูเหมือน WORKPOINT จะมาถูกทางเพราะเมื่อมาดูรายการจากธุรกิจนี้
ก็กำลังค่อยๆ สร้างเม็ดเงินเติบโตอย่างต่อเนื่อง
จนในปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ 217 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นถึง 23% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ก็กำลังค่อยๆ สร้างเม็ดเงินเติบโตอย่างต่อเนื่อง
จนในปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ 217 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นถึง 23% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ซึ่งใครจะไปรู้ ในอนาคตอันใกล้เราอาจได้เห็น คุณปัญญา นิรันดร์กุล เจ้าของ WORKPOINT
ให้ดาราในสังกัดช่องตัวเองจนไปถึง แก๊งสามช่า มาช่วยขายสารพัดสินค้าผ่านหน้าจอทีวี และในออนไลน์
เหมือนอย่างที่เฮียฮ้อ เจ้าของอาณาจักร RS เคยทำมาแล้ว
ให้ดาราในสังกัดช่องตัวเองจนไปถึง แก๊งสามช่า มาช่วยขายสารพัดสินค้าผ่านหน้าจอทีวี และในออนไลน์
เหมือนอย่างที่เฮียฮ้อ เจ้าของอาณาจักร RS เคยทำมาแล้ว
ก็ในเมื่ออยากให้ช่องทีวีตัวเองยังมีลมหายใจอยู่ เวลานี้จะคิดแบบเดิมๆ คือผลิต Content คุณภาพ แล้วหวังแต่จะขายโฆษณาจากแบรนด์สินค้า อย่างเดียวคงอาจไม่เพียงพอ
การเป็นเจ้าของช่องทีวีในยุคนี้ อาจต้องมีแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเองด้วยถึงจะ “เอาอยู่”
อ้างอิง :
รายงานประจำปีและคำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการสิ้นปี 2562 บริษัท WORKPOINT
นีลเส็น ประเทศไทย
https://www.tvdigitalwatch.com/cate…/tv-rating/rating-anual/
ตลาดหลักทรัพย์ฯ
รายงานประจำปีและคำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการสิ้นปี 2562 บริษัท WORKPOINT
นีลเส็น ประเทศไทย
https://www.tvdigitalwatch.com/cate…/tv-rating/rating-anual/
ตลาดหลักทรัพย์ฯ