สรุปโมเดลธุรกิจ “Mixue” แบบเข้าใจง่าย ๆ ทำไมถึงโตเร็ว และขายสินค้าได้ถูก ?
21 พ.ย. 2023
“Mixue” คือร้านไอศกรีม-ชานมไข่มุก ชื่อดังจากเมืองจีน ที่เพิ่งเข้ามาทำตลาดในไทยเมื่อปีที่แล้ว
วันนี้ หลาย ๆ คนคงเห็นแล้วว่า Mixue เป็นร้านที่กำลังขยายตัวได้เร็ว และผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดในบ้านเรา
อีกทั้งได้กระแสตอบรับที่ดี จนกลายเป็นกระแสบนโลกออนไลน์ และมีคนแน่นเต็มหน้าร้านแทบทุกสาขา
อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Mixue ประสบความสำเร็จในการบุกตลาดต่างประเทศ
เพราะ Mixue เคยทำแบบนี้ได้แล้ว ที่เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และอีกหลายประเทศ
จนตอนนี้ Mixue มีมากกว่า 23,500 สาขา และกลายเป็นเชนร้านอาหารและเครื่องดื่ม ที่มีสาขามากสุดเป็นอันดับ 5 ของโลก
เป็นรองเพียง McDonald’s, Subway, Starbucks และ KFC เท่านั้น..
แล้ว Mixue ทำอย่างไรให้สามารถเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ขนาดนี้ ?
บทความนี้ MarketThink จะมาสรุปโมเดลธุรกิจของ Mixue ให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ๆ
เริ่มกันจากตัว “สินค้าและราคาขาย”
ต้องบอกก่อนว่า Mixue นั้นเก่งในเรื่องของการบริหาร “ต้นทุนและซัปพลายเชน” มาก ๆ
จนต้นทุนของสินค้านั้นถูกกว่าคู่แข่งเฉลี่ยมากถึง 20%
ทำให้สามารถตั้งราคาขายสินค้า ได้ต่ำกว่าคู่แข่ง เพื่อดึงดูดลูกค้า
โดยช่วงที่ Mixue เริ่มสร้างแบรนด์ในจีนใหม่ ๆ
ชานมไข่มุก ในประเทศจีน จะมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 94 บาท
ส่วนไอศกรีมโคน มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 50 บาท
แต่ Mixue เสนอขายชานมไข่มุก เริ่มต้นที่ 25 บาท
และไอศกรีมแค่ 10 บาทเท่านั้น
ซึ่งเหตุผลที่ Mixue เลือกที่จะไม่ตั้งราคาขายสินค้าสูง ๆ เพื่อให้มีอัตรากำไรเยอะ (Margin)
แต่ตั้งราคาแบบย่อมเยา เพราะต้องการให้เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างให้ได้มากที่สุด แล้วเอาปริมาณการขาย (Volume) จำนวนมาก มาทดแทน
และยิ่งแบรนด์มียอดขายและจำนวนสาขามาก ธุรกิจก็เกิดความได้เปรียบเรื่องการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) เช่น ซื้อวัตถุดิบจากซัปพลายเออร์ได้ถูกลง เพราะซื้อในปริมาณมาก
เรื่องนี้ก็ยิ่งขยายขีดความสามารถด้านการควบคุมต้นทุน ได้มากขึ้นไปอีก
และด้วยราคาเริ่มต้นที่ถูกขนาดนี้ จึงทำให้ “Product Positioning” ของ Mixue ไม่ได้แข่งได้แค่ในตลาดร้านชานมไข่มุกอย่างเดียว
แต่ยังสามารถแข่งกับ “ตลาดเครื่องดื่มสำเร็จรูป” ที่ใหญ่กว่า “ตลาดร้านชานมไข่มุก” หลายเท่า ได้อย่างพอฟัดพอเหวี่ยง
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ก็เช่น ถ้าเราอยากกินชานม
แล้วทางซ้ายเป็นร้านสะดวกซื้อ ที่มีชานมบรรจุขวดขายในราคา 25 บาท
กับฝั่งขวาเป็นร้าน Mixue ที่เป็นชาชงสด ๆ ในราคาเท่ากัน
คำถามคือ ถ้าเป็นเราจะเลือกเดินเข้าร้านไหน ?
อีกทั้งในราคาระดับนี้ ยังใกล้เคียงหรืออาจถูกกว่า เครื่องดื่มสำเร็จรูปหลาย ๆ แบรนด์ ที่วางขายตามร้านสะดวกซื้อ จึงสามารถดึงดูดให้ผู้บริโภคหันมาปันใจซื้อเครื่องดื่มของ Mixue ได้ไม่ยาก
พอเป็นแบบนี้ จึงทำให้ Mixue มีพื้นที่ให้เติบโตต่อไปได้เรื่อย ๆ
อย่างต่อมาคือ เรื่องของ “การขยายสาขา”
เชื่อไหมว่า Mixue มีรายได้หลักมาจากโมเดลการ “ขายแฟรนไชส์”
Mixue มีรายได้
- 72% มาจากการขายวัตถุดิบ ให้สาขา
- 16% มาจากการขายแพ็กเกจจิง ให้สาขา
ด้วยโมเดลแฟรนไชส์นี้เอง เท่ากับว่า Mixue นั้นแทบไม่ต้องใช้เงินของตัวเอง ในการขยายธุรกิจเลย
แค่รอให้คนมาลงทุนซื้อแฟรนไชส์ แล้วป้อนวัตถุดิบเท่านั้น
จึงสามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงมากเกินไป
เรื่องนี้แหละที่ทำให้ Mixue ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี ก็สามารถขยายสาขาจนทะลุ 20,000 สาขา ได้เหมือนอย่างทุกวันนี้
แถมต้นทุนในการเปิดร้าน Mixue ก็ไม่ค่อยสูงมาก
และมีระบบหลังบ้าน ที่ค่อนข้างแน่น ได้มาตรฐาน มาไว้คอยรองรับคนที่มาซื้อ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าอยากเปิดร้าน Mixue ในไทย จะต้องใช้เงินเริ่มต้นแค่ประมาณ 8 แสนบาทเท่านั้น
ซึ่งพอ ๆ กับการลงทุนเปิดร้านหม่าล่าสายพาน (อ้างอิงตาม thaifranchisecenter)
โดยทางแบรนด์จะมีมาให้แทบทุกอย่าง ตั้งแต่
- สิทธิ์ในการใช้แฟรนไชส์
- บริการอบรมพนักงาน
- อุปกรณ์ต่าง ๆ พร้อมขาย
- บริการป้อนวัตถุดิบ
พูดง่าย ๆ คือ สำหรับคนซื้อแฟรนไชส์ แค่ลงเงิน ก็รอขายได้เลย
และอย่างสุดท้ายคือ เรื่องของ “การตลาด”
ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นได้ว่า เราแทบจะไม่เห็นโฆษณาของ Mixue ตามสื่อสักเท่าไรนัก
แต่แบรนด์นี้ จะเน้นทำการตลาดด้วยวิธีอื่นแทน เช่น ตกแต่งหน้าร้านให้สวยงาม สะดุดตา
สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ ให้เป็นที่น่าจดจำ ด้วยโลโกตุ๊กตามนุษย์หิมะ
และใช้กลยุทธ์ บอกปากต่อปาก ให้คนมารีวิวร้านและสินค้าของ Mixue ลงบนโซเชียลแบบฟรี ๆ
อย่างล่าสุด Mixue ก็ทำตุ๊กตามนุษย์หิมะล้มลุก ออกมาขายตัวละ 5 บาท
จนลูกค้าออกตามล่า และกลายเป็นไวรัลบนโซเชียล โดยไม่ต้องเสียเงินเลยสักบาท
จากทั้งหมดที่ว่ามา ทำให้ Mixue กลายเป็นแบรนด์ที่
- ฝั่งคนซื้อ ก็สบายใจ เพราะราคาถูก คุณภาพก็ดี แถมยังถ่ายรูปสวย
- ฝั่งคนจะซื้อแฟรนไชส์ ก็กล้าจะลงทุน เพราะหลังบ้านแข็งแกร่ง แถมสินค้าก็ขายง่าย
ถือว่า Mixue เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจไม่น้อยเลย
สำหรับการหาพื้นที่ให้ตัวเองในสมรภูมิชานมไข่มุก และไอศกรีม ที่เต็มไปด้วยผู้เล่นระดับบิ๊กเนม
จนมีสภาพไม่ต่างจาก ตลาดทะเลเลือด (Red Ocean) เหมือนทุกวันนี้
แต่แบรนด์รุ่นน้องอย่าง Mixue กลับเติบโตอย่างก้าวกระโดด ในภาวะการแข่งขันเช่นนี้ได้
จนปัจจุบัน มีจำนวนสาขามากถึง 23,500 สาขาทั่วโลก
และเป็นแบรนด์จีน เพียงแบรนด์เดียวที่ติด TOP 5 เชนร้านอาหารและเครื่องดื่ม ที่มีจำนวนสาขามากสุดในโลก..
—---------------------
อ้างอิง :
Tag:Mixue