สรุปแล้ว ควรเปลี่ยนมือถือทุกกี่ปี ? ถึงคุ้มค่าที่สุด
4 ต.ค. 2023
เมื่อก่อน มนุษย์เราอาศัยแค่ปัจจัย 4 ซึ่งประกอบด้วย อาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย ก็เพียงพอแล้วกับการดำรงชีวิต
แต่ในปัจจุบัน สมาร์ตโฟน กลับกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ที่คนเราขาดไปไม่ได้แล้วเช่นกัน
เพราะถ้าลองนึกดูดี ๆ ในยุคนี้ วิถีชีวิตของคนเรา ต้องมีสมาร์ตโฟนมาเกี่ยวข้องตั้งแต่วินาทีแรก ที่เราตื่นนอน
ทีนี้ในเมื่อ สมาร์ตโฟน กลายเป็นสิ่งที่เราจะขาดไม่ได้ไปแล้ว
นั่นก็หมายความว่า สมาร์ตโฟน กลายเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายจำเป็น ที่เราต้องใช้เพื่อการดำรงชีวิตไปแบบเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
นั่นก็หมายความว่า สมาร์ตโฟน กลายเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายจำเป็น ที่เราต้องใช้เพื่อการดำรงชีวิตไปแบบเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
แต่สมาร์ตโฟน ก็เป็นของใช้ที่มีการเสื่อมสภาพตามกาลเวลา
แถมเมื่อเวลาผ่านไป รุ่นใหม่ ๆ ที่ออกมา ก็มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์เรามากกว่า
เราจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่เรื่อย ๆ
แถมเมื่อเวลาผ่านไป รุ่นใหม่ ๆ ที่ออกมา ก็มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์เรามากกว่า
เราจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่เรื่อย ๆ
ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องซื้อสมาร์ตโฟนมาใช้อยู่ดี และเปลี่ยนรุ่นอยู่เรื่อย ๆ คำถามต่อมาคือ
แล้วเราควรลงทุนเปลี่ยนสมาร์ตโฟนทุก ๆ กี่ปี ถึงจะคุ้มค่าที่สุด ?
แล้วเราควรลงทุนเปลี่ยนสมาร์ตโฟนทุก ๆ กี่ปี ถึงจะคุ้มค่าที่สุด ?
ในบทความนี้ MarketThink จะชวนมาหาคำตอบ ของคำถามที่ค้างคาใจใครหลายคนมานาน ไปด้วยกัน..
ขอยกตัวอย่าง สมาร์ตโฟนยอดนิยม ที่หลายคนอาจกำลังใช้อยู่ นั่นคือ “iPhone”
ซึ่ง iPhone แต่ละเครื่อง จะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยที่ 2-3 ปี
ก่อนจะเริ่มทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือหน้าจอแตกจากการทำตกเสียก่อน
ก่อนจะเริ่มทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือหน้าจอแตกจากการทำตกเสียก่อน
และทุก ๆ ครั้งที่ iPhone รุ่นใหม่เปิดตัว เราจะเริ่มเห็นคนเอา iPhone รุ่นก่อนหน้า หรือเก่ากว่านั้น มาขายต่อ เพื่อเป็นทุนสำหรับซื้อเครื่องใหม่กันเป็นประจำ
อย่างเช่นตอนนี้ที่ iPhone 15 ซึ่งเป็น iPhone รุ่นล่าสุดที่ Apple เปิดตัวมา
เราก็จะเริ่มเห็นคนเอา iPhone 14 มาปล่อยต่อกันมากขึ้น
เราก็จะเริ่มเห็นคนเอา iPhone 14 มาปล่อยต่อกันมากขึ้น
เรามาดูราคา iPhone มือสองรุ่นเก่า ๆ หลังจาก iPhone 15 เปิดตัวกัน
(อ้างอิงตาม Facebook Marketplace)
(อ้างอิงตาม Facebook Marketplace)
เริ่มจาก
- iPhone 12 Pro 128GB เปิดตัวตอนปี ค.ศ. 2020 ราคา 36,900 บาท
iPhone 12 Pro 128GB ตอนนี้มีราคาขายต่อ ประมาณ 15,900 บาท
- iPhone 12 Pro 128GB เปิดตัวตอนปี ค.ศ. 2020 ราคา 36,900 บาท
iPhone 12 Pro 128GB ตอนนี้มีราคาขายต่อ ประมาณ 15,900 บาท
- iPhone 13 Pro 128GB เปิดตัวตอนปี ค.ศ. 2021 ราคา 38,900 บาท
iPhone 13 Pro 128GB ตอนนี้มีราคาขายต่อ ประมาณ 22,500 บาท
iPhone 13 Pro 128GB ตอนนี้มีราคาขายต่อ ประมาณ 22,500 บาท
- iPhone 14 Pro 128GB เปิดตัวตอนปี ค.ศ. 2022 ราคา 41,900 บาท
iPhone 14 Pro 128GB ตอนนี้มีราคาขายต่อ ประมาณ 28,900 บาท
iPhone 14 Pro 128GB ตอนนี้มีราคาขายต่อ ประมาณ 28,900 บาท
ทีนี้เรามาดูกันว่า ควรเปลี่ยนสมาร์ตโฟนทุก ๆ กี่ปี ถึงคุ้มค่าที่สุด ?
- กรณีแรก “เปลี่ยนทุกปี”
นำ iPhone 14 Pro 128GB ไปขายต่อในราคา 28,900 บาท
และนำมาซื้อ iPhone 15 Pro 128GB ที่ราคา 41,900 บาท
และนำมาซื้อ iPhone 15 Pro 128GB ที่ราคา 41,900 บาท
(41,900 - 28,900 = 13,000) / 12
เท่ากับว่า ถ้าเราเปลี่ยนเครื่องทุกปี เราจะเสียค่าเสื่อมของสมาร์ตโฟน เฉลี่ยเดือนละ 1,083 บาท
- กรณีต่อมาคือ “เปลี่ยนทุก ๆ 2 ปี”
นำ iPhone 13 Pro 128GB ไปขายต่อในราคา 22,500 บาท
และนำมาซื้อ iPhone 15 Pro 128GB ที่ราคา 41,900 บาท
และนำมาซื้อ iPhone 15 Pro 128GB ที่ราคา 41,900 บาท
(41,900 - 22,500 = 19,400) / 24
เท่ากับว่า ถ้าเราเปลี่ยนเครื่องทุก 2 ปี เราจะเสียค่าเสื่อมของสมาร์ตโฟน เฉลี่ยเดือนละ 808 บาท
- กรณีต่อมาคือ “เปลี่ยนทุก ๆ 3 ปี”
นำ iPhone 12 Pro 128GB ไปขายต่อในราคา 15,900 บาท
และนำมาซื้อ iPhone 15 Pro 128GB ที่ราคา 41,900 บาท
และนำมาซื้อ iPhone 15 Pro 128GB ที่ราคา 41,900 บาท
(41,900 - 15,900 = 26,000 บาท) / 36
เท่ากับว่า ถ้าเราเปลี่ยนเครื่องทุก 3 ปี เราจะเสียค่าเสื่อมของสมาร์ตโฟน เฉลี่ยเดือนละ 722 บาท
จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนสมาร์ตโฟนทุกปี เราจะเสียค่าใช้จ่ายต่อเดือน “เยอะที่สุด”
แต่ก็ไม่ได้ทิ้งห่างกับการเปลี่ยนเครื่องทุก ๆ 2 ปี หรือ 3 ปี มากนัก
แต่ก็ไม่ได้ทิ้งห่างกับการเปลี่ยนเครื่องทุก ๆ 2 ปี หรือ 3 ปี มากนัก
ซึ่งสิ่งที่แลกมากับการเปลี่ยนเครื่องใหม่ทุกปี ก็คือ คนที่เปลี่ยนแบบปีต่อปี
จะได้ใช้นวัตกรรมใหม่ล่าสุดทุก ๆ ปี
จะได้ใช้นวัตกรรมใหม่ล่าสุดทุก ๆ ปี
ส่วนคนที่นาน ๆ จะเปลี่ยนเครื่องที แม้จะมีค่าใช้จ่ายต่อปีที่น้อยกว่า
แต่อาจต้องแลกกับความเสี่ยงที่อุปกรณ์ จะเสื่อมสภาพจากการใช้งาน
จนอาจทำให้ราคาขายต่อลดลงได้ง่ายกว่า คนเปลี่ยนเครื่องทุกปีเช่นกัน
แต่อาจต้องแลกกับความเสี่ยงที่อุปกรณ์ จะเสื่อมสภาพจากการใช้งาน
จนอาจทำให้ราคาขายต่อลดลงได้ง่ายกว่า คนเปลี่ยนเครื่องทุกปีเช่นกัน
รวมถึงอาจเผชิญกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การเปลี่ยนแบตเตอรี่มือถือ กรณีแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ
ทั้งนี้ การคำนวณเบื้องต้นที่ยกตัวอย่างไป ยังไม่คิดรวมผลประโยชน์หรือส่วนลดอื่น ๆ ที่ได้จากค่ายมือถือ เช่น ใช้แพ็กเกจรายเดือน จะได้รับส่วนลดค่าเครื่อง หรือเครดิตเงินคืนจากบัตรเครดิต เป็นต้น
สรุปแล้ว แบบไหนถือว่าคุ้มค่าที่สุด นั่นก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ว่านิยามความคุ้มค่าเป็นแบบไหน
ถ้ามองว่ามันคือ การเสียค่าใช้จ่าย (ค่าเสื่อม) น้อยที่สุด
การเปลี่ยนสมาร์ตโฟนทุก ๆ ปี ก็อาจไม่ตอบโจทย์
ถ้ามองว่ามันคือ การเสียค่าใช้จ่าย (ค่าเสื่อม) น้อยที่สุด
การเปลี่ยนสมาร์ตโฟนทุก ๆ ปี ก็อาจไม่ตอบโจทย์
แต่ถ้ามองว่า ยอมเสียเงินเพิ่มเดือนละไม่กี่ร้อยบาท แต่ได้ใช้สมาร์ตโฟนเครื่องใหม่ และเทคโนโลยีล่าสุดทุก ๆ ปี
สิ่งนี้ถือเป็นความคุ้มค่ามากกว่าเงินที่จ่ายเพิ่มไป
การเปลี่ยนเครื่องทุก ๆ ปี ก็คือคำตอบ
สิ่งนี้ถือเป็นความคุ้มค่ามากกว่าเงินที่จ่ายเพิ่มไป
การเปลี่ยนเครื่องทุก ๆ ปี ก็คือคำตอบ
สุดท้ายนี้ ก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ว่าสมาร์ตโฟนนั้นกลายเป็นปัจจัยที่ 5
ที่เราต้องใช้ในการดำรงชีวิตกันแล้ว
ที่เราต้องใช้ในการดำรงชีวิตกันแล้ว
และไม่ว่าอย่างไร เราก็ต้องมีค่าใช้จ่ายตรงนี้อยู่ดี
ซึ่งคำตอบของคำถามที่ว่า จะคุ้มหรือไม่คุ้ม
ก็คงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละคน ว่าพอใจแบบไหนนั่นเอง..
ก็คงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละคน ว่าพอใจแบบไหนนั่นเอง..
—----------------------
อ้างอิง :
- Facebook Marketplace
อ้างอิง :
- Facebook Marketplace