
การตลาดเบื้องหลัง “แก้วไวน์” ทำไมไวน์แต่ละประเภท ต้องใช้แก้วแตกต่างกัน ?
1 ก.ย. 2023
“แก้วไวน์แดง” ต้องแก้วกลมใหญ่ ปากกว้าง
เพื่อให้ไวน์สัมผัสอากาศ ช่วยเพิ่มกลิ่นและรสชาติกลมกล่อม
“แก้วไวน์ขาว” คล้ายแก้วไวน์แดง แต่เรียวกว่าเล็กน้อย
ช่วยเก็บรักษากลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของไวน์ขาว และช่วยคงความเย็นไว้ได้นานยิ่งขึ้น
“แก้วแชมเปญ” ต้องรูปทรงเพรียวยาว ปากแก้วแคบ
ช่วยเก็บความซ่าไว้ให้นานยิ่งขึ้น
แต่รู้หรือไม่ ? ในอดีตแก้วไวน์ไม่ได้มีหลากหลายรูปทรงเหมือนทุกวันนี้
โดยมีแก้วเพียงใบเดียว ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างแบบไหน ก็สามารถรองรับไวน์ได้ทุกประเภท ทั้งไวน์แดง ไวน์ขาว และแชมเปญ
แล้วอะไรเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้แก้วไวน์ในทุกวันนี้ ต้องมีหลากหลายรูปทรง เพื่อรองรับไวน์แต่ละชนิด ?
บทความนี้ MarketThink จะพามาหาคำตอบกัน..
สำหรับคนรักไวน์ หรือคุ้นเคยกับวงการไวน์ น่าจะรู้จัก “Riedel (รีเดล)” กันเป็นอย่างดี
เพราะ Riedel เป็นผู้ผลิตแก้วไวน์ชั้นนำของโลก ที่มีประวัติยาวนานกว่า 267 ปี และมีการสืบทอดกิจการมาแล้วกว่า 11 รุ่น จนถึงปัจจุบัน
เริ่มแรกเดิมที Riedel เป็นผู้ผลิตเครื่องแก้วทำมือ
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Riedel พลิกธุรกิจสู่ผู้ผลิตแก้วไวน์ ที่ขายได้ใบละหลักหลายพันบาท เกิดจากชายที่มีชื่อว่า “คุณเคลาส์ รีเดล (Claus Riedel)” ผู้สืบทอดกิจการรุ่นที่ 9
ต้องบอกว่า เส้นทางธุรกิจของ Riedel ไม่ได้ราบรื่นมากนัก
เพราะในสมัย คุณวอลเทอร์ รีเดล (Walter Riedel) พ่อของคุณเคลาส์ รีเดล กำลังสืบทอดกิจการเป็นรุ่นที่ 8 เป็นช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
ซึ่งคุณวอลเทอร์ รีเดล ถูกสหภาพโซเวียตจับกุมเป็นเวลากว่า 10 ปี
ในขณะที่ คุณเคลาส์ รีเดล ก็ถูกเกณฑ์เป็นทหารกองทัพเยอรมนี อีกทั้งยังถูกกองทัพสหรัฐอเมริกาจับเป็นเชลยเป็นเวลากว่า 10 เดือน
จุดนี้เอง ที่ทำให้ Riedel ในฐานะผู้ผลิตเครื่องแก้วทำมือ ที่ส่งต่อธุรกิจมาแล้วกว่า 8 รุ่น ต้องสะดุดลง
สูญเสียทั้งโรงงานผลิตแก้ว สูญเสียที่ดิน และสูญเสียทรัพย์สินที่มีอยู่..
ต่อมาภายหลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง คุณเคลาส์ รีเดล ได้รับการปล่อยตัว และระหว่างถูกส่งกลับไปที่เยอรมนี เขาได้หลบหนีด้วยการกระโดดลงจากรถไฟสู่ประเทศออสเตรีย
ซึ่งเป็นสถานที่แห่งการเริ่มต้นใหม่ของ Riedel ในฐานะผู้ผลิตแก้วไวน์ในเวลาต่อมา
ด้วยความที่คุณเคลาส์ รีเดล เติบโตและคลุกคลีเกี่ยวกับแก้วมาตั้งแต่เด็ก ๆ จึงให้ความสนใจในเรื่องของการผลิตแก้วเป็นพิเศษ ประกอบกับส่วนตัวมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องไวน์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ในช่วงที่คุณเคลาส์ รีเดล เริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศออสเตรีย จึงได้เลือกเรียนสาขาวิชาเคมี ที่มหาวิทยาลัยอินส์บรุค (University of Innsbruck) เพื่อนำความรู้มาต่อยอดในการผลิตแก้ว
อีกทั้งยังศึกษาเกี่ยวกับไวน์ ทั้งในเรื่องของรสชาติ และกระบวนการรับรสของร่างกายมนุษย์ เป็นเวลาหลายปี
ช่วงเวลาเดียวกันนี้ คุณพ่อของคุณเคลาส์ รีเดล ได้รับการปล่อยตัว และเดินทางมายังออสเตรีย ในปี 1955 ทั้งคู่จึงมีโอกาสได้ซื้อโรงงานผลิตแก้วแห่งหนึ่ง ที่กำลังจะล้มละลาย
ต้องบอกว่าธุรกิจแก้ว เป็นตลาดทะเลสีเลือด (Red Ocean) ที่มีผู้ผลิตมากหน้าหลายตา และมีการแข่งขันสูง
ผู้ผลิตบางรายอาจแข่งกันด้วยราคา บางรายอาจแข่งกันที่ลวดลาย
อีกทั้งแก้วน้ำ ยังเป็นสินค้าที่มีความคงทน ทำให้แก้วหนึ่งใบ สามารถใช้ได้นานเป็นปี
ทำให้โอกาสที่ผู้บริโภคคนหนึ่งจะซื้อแก้วซ้ำ หรือซื้อหลาย ๆ ใบ มีไม่มาก
พอเป็นแบบนี้ ถ้าเราเป็นผู้ผลิตแก้ว จะทำอย่างไร ?
หลังจากที่คุณเคลาส์ รีเดล ได้ทำการศึกษาและทดลองเกี่ยวกับแก้วน้ำและไวน์ เป็นเวลาหลายปี
ในที่สุดก็ค้นพบแนวคิดที่เป็นจุดเปลี่ยนธุรกิจ นั่นก็คือ การค้นพบว่า แก้วมีความสัมพันธ์ต่อรสชาติไวน์
สิ่งนี้เองที่ทำให้ Riedel เห็นโอกาสและหันมาโฟกัสกับการผลิตแก้วไวน์
โดยคุณเคลาส์ รีเดล ชูแนวคิดว่า “ไวน์ต่างชนิดกัน ต้องใช้แก้วแตกต่างกัน (Different of Wine. Different Glasses)”
อีกทั้งยังสื่อสารไปถึงผู้บริโภคว่า ไวน์แต่ละประเภท ไม่สามารถใช้แก้วแบบเดียวได้..
และการใช้แก้วไวน์แบบเดียวเป็นเรื่องที่ผิด เพราะทั้งขนาดและรูปทรง ต่างส่งผลต่ออรรถรสในการลิ้มรสไวน์ทั้งนั้น
ซึ่งในปี 1958 คุณเคลาส์ รีเดล เป็นคนแรกที่เปิดตัวแก้วไวน์แบบมีก้านจับ
โดยใช้ชื่อว่า “Burgundy Grand Cru” เหมาะสำหรับไวน์เบอร์กันดี (Burgundy), ไวน์บาโรโล (Barolo) และไวน์บาร์บาเรสโก (Barbaresco)
ปัจจุบัน Burgundy Grand Cru เป็นหนึ่งในแก้วไวน์ที่คอไวน์หลายคนรู้จัก และมีชื่อเสียง
ทั้งยังได้รับรางวัลการออกแบบ รวมถึงถูกจัดเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ในนิวยอร์กอีกด้วย
ต่อมา คุณเคลาส์ รีเดล ก็ได้เปิดตัวแก้วอีกหลากหลายประเภท
อย่างในปี 1961 เปิดตัวเซตแก้วไวน์ ที่มีหลากหลายรูปทรง สอดคล้องกับแนวคิดไวน์ต่างชนิดกัน ต้องใช้แก้วแตกต่างกัน
และในปี 1973 เปิดตัวคอลเลกชัน “Sommeliers Series”
เป็นแก้วไวน์ที่ออกแบบมาให้สอดคล้องกับจุดรับรสภายในช่องปาก เช่น ไวน์ที่มีความหวานน้อย จะต้องไหลเข้าสู่จุดสัมผัสความหวานตรงปลายลิ้นก่อน เพื่อให้รสชาติของไวน์เกิดความสมดุลภายในปาก
มาถึงตรงนี้ พอจะสรุปได้ว่า..
การที่คุณเคลาส์ รีเดล พลิกธุรกิจจากผู้ผลิตเครื่องแก้วทำมือ สู่ผู้ผลิตแก้วไวน์
ด้วยการบุกเบิกแนวคิด และสร้างสตอรีว่า “การดื่มไวน์แต่ละประเภท ควรใช้แก้วที่แตกต่างกัน”
ไม่ใช่แค่ช่วยเพิ่มยอดขาย หรือทำให้แบรนด์แตกต่างจากผู้ผลิตแก้วรายอื่น ๆ
แต่ยังเป็นการพลิกธุรกิจจากทะเลสีเลือด (Red Ocean) ที่มีคู่แข่งมากหน้าหลายตา
สู่น่านน้ำสีคราม (Blue Ocean) ที่ในสมัยนั้น ยังเป็นตลาดที่มีคู่แข่งน้อยราย ทำให้ไม่ต้องเผชิญกับสภาพการแข่งขันที่ดุเดือด
อีกทั้งยังเป็นการปฏิวัติวงการแก้วไวน์ สร้างมาตรฐานใหม่ให้ค่านิยมการดื่มไวน์อีกด้วย
แม้ว่าปัจจุบันแนวคิดเรื่องแก้วไวน์จะถูกส่งต่อ
จนแบรนด์อื่น ๆ ก็ผลิตแก้วไวน์ที่มีความหลากหลายไม่ต่างกัน
แต่ Riedel ก็ยังเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ที่คอไวน์ให้การยอมรับ และผลิตแก้วขายกว่า 28 ล้านใบต่อปี เลยทีเดียว..
อ้างอิง:
-หนังสือ Crossover Creativity โดย Dave Trott