สิงห์ เอสเตท เผยแผนธุรกิจ 2566 ชูกลยุทธ์ “S EXCELS” ตั้งเป้ารายได้ทะลุ 1.7 หมื่นล้าน และสร้างกำไรแบบ “All-time High”
21 มี.ค. 2023
ในปีที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของเมืองไทย สามารถสร้างรายได้หลัก 12,500 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นจากปีก่อนประมาณ 62%
โดยตัวดังกล่าวนั้นก็มีที่มาจากการเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในแทบจะหน่วยธุรกิจที่บริษัททำ เริ่มตั้งแต่
-ธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ทางบริษัทรุกเข้าสู่การพัฒนาบ้านแนวราบอย่างเต็มตัว จนทำให้ยอดจองและยอดโอนกรรมสิทธิ์ภายในปี 2565 ของโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส ซึ่งสูงถึง 77% และ 30% ตามลำดับ
-ธุรกิจโรงแรม ก็สามารถทำรายได้ทะลุเป้าหมายอยู่ที่ 8,700 ล้านบาท มีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Rate: ADR) ปรับเพิ่มขึ้นได้กว่า 28% จากปีก่อน และขึ้นแท่นเป็นผู้ประกอบการโรงแรมในไทยที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศได้สำเร็จ
-ธุรกิจอาคารสำนักงานมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ มีอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy)
ที่ไต่ระดับสูงขึ้น
ที่ไต่ระดับสูงขึ้น
-ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในปีก่อนได้กว่า 77ไร่
ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น..
โดยล่าสุดบริษัท สิงห์ เอสเตท ก็ได้เผยแผนการในปี 2566 ออกมาว่าบริษัทกำลังจะเดินหน้าไปทางไหน
ซึ่งก็คือแนวคิด “S EXCELS” ที่จะมุ่งความเป็นเลิศในทุกธุรกิจที่บริษัททำ
ซึ่งก็คือแนวคิด “S EXCELS” ที่จะมุ่งความเป็นเลิศในทุกธุรกิจที่บริษัททำ
โดยแนวคิดดังกล่าวทาง สิงห์ เอสเตท เชื่อว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้เติบโตกว่า 34% หรือ
จะสูงกว่าปีเดิมเป็น 16,700 ล้านบาทได้
จะสูงกว่าปีเดิมเป็น 16,700 ล้านบาทได้
คุณ นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)
กล่าวว่า ในปี 2566 เป็นปีที่สำคัญมากของสิงห์ เอสเตท ซึ่งกลยุทธ์ “S EXCELS” คือการสร้างความเป็นเลิศในทุกมิติ
กล่าวว่า ในปี 2566 เป็นปีที่สำคัญมากของสิงห์ เอสเตท ซึ่งกลยุทธ์ “S EXCELS” คือการสร้างความเป็นเลิศในทุกมิติ
มิติแรกคือ ผลการดำเนินงานที่เป็นเลิศ ดันเป้ากำไรสู่ All-time High ในทุกพอร์ตธุรกิจ โดยปีนี้จะสามารถสร้างรายได้รวมของบริษัทให้เติบโตขึ้นสูงถึง 34% หรือมีมูลค่าแตะ 16,700 ล้านบาท
มิติที่สองคือ การเพิ่มแต้มต่อธุรกิจ เสริมแกร่งศักยภาพในการแข่งขัน เน้นการสร้าง Synergy ที่เกื้อหนุนกันระหว่าง 4 ธุรกิจ และความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ เพื่อสร้างการเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ตลอด 3 ปี
มิติที่สามคือ การพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ตั้งเป้าบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573 และกำหนดแผนอนุรักษ์ในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพในบริเวณธุรกิจตั้งอยู่”
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย ในปี 2566 นี้ สิงห์ เอสเตท เตรียมต่อยอดความสำเร็จด้วยการเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบใหม่ ตอบโจทย์ Lifestyle ที่ทันสมัย บนทำเลศักยภาพ ขยายฐานเจาะตลาดหลากหลายเซกเมนต์ อีก 5 โครงการ
ประกอบด้วย บ้านเดี่ยวระดับราคา 15-30 ล้านบาท และระดับราคา 30-50 ล้านบาท Cluster Home ระดับราคาตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป พร้อม Flagship Cluster Home Project ซึ่งมีระดับราคาเริ่มต้นสูงถึง 550 ล้านบาทต่อหลัง ด้วยมูลค่ารวม 5 โครงการกว่า 10,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันเพื่อตอบรับความต้องการในตลาดคอนโดมิเนียมที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่ม Ready-to-move-in ได้อย่างทันท่วงที สิงห์ เอสเตทจึงขยายสัดส่วนการถือครองโครงการ The ESSE Sukhumvit 36
ส่งผลให้สามารถรับรู้รายได้และกำไรจากโครงการดังกล่าวเต็ม 100% โดยบริษัทฯ คาดว่าโครงการที่พักอาศัยในปีนี้ จะมีรายได้ที่เติบโตขึ้นกว่า 70% ..
กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้ามีสัญญาณการฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์โมเดลธุรกิจ Right sizing ซึ่งนำเสนอขนาดพื้นที่ให้เช่าที่หลากหลาย ควบคู่กับโมเดลธุรกิจ Ready-to-move หรือการจัดสรรพื้นที่ให้เช่าพร้อมใช้งาน
โดยปี 2566 ตั้งเป้าผลประกอบการเพิ่มขึ้น 20% ด้วยอัตราการเช่าพื้นที่สูงกว่า 90% ในทุกโครงการ ทั้งสิงห์ คอมเพล็กซ์, ซันทาวเวอร์ส และ เอส เมโทร รวมถึงโครงการอาคารสำนักงานล่าสุดอย่าง เอส โอเอซิส บนถนนวิภาวดีรังสิต บริเวณห้าแยกลาดพร้าว ศูนย์กลางธุรกิจที่เปี่ยมศักยภาพแห่งใหม่ พร้อมเซ็นสัญญาผู้เช่ารายใหญ่ในไตรมาส 2 ปีนี้
กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ ‘เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท’ หรือ ‘SHR’ จะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่โดดเด่นอย่างชัดเจนในปีนี้
โดยโรงแรมในเครือที่ประเทศไทยทั้ง 4 แห่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ คาดรายได้เติบโตถึง 60% จากปีก่อนหน้า ในขณะที่รายได้จากโรงแรมในมัลดีฟส์จะเติบโตขึ้น 30% หนุนรายได้รวมทะลุ 10,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นกว่า 20%
ทั้งนี้ ในปี 2566 จะเน้นการเติบโตของอัตราการเข้าพักรวมแตะระดับ All-time High ที่ 75% ขณะที่การหมุนเวียนและต่อยอดการลงทุนสินทรัพย์ (Asset Rotation & Enhancement) รวมถึงการปรับปรุงและยกระดับโรงแรมในเครือ ช่วยเสริมแกร่งผลประกอบการ สนับสนุนให้ SHR สามารถครองตำแหน่งผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของไทยอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ในช่วงปลายปีจะมีการเปิดตัว SO/ Maldives โรงแรมไลฟ์สไตล์หรูระดับ 6 ดาว ในโครงการครอสโรดส์ มัลดีฟส์ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง SHR และพันธมิตรทางธุรกิจ คาดผลประกอบการจะสร้างกำไรให้กับบริษัทฯ ในระยะยาวได้ในอีกทางหนึ่ง..
และส่วนสุดท้ายคือ กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
ในปี 2566 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แรงหนุนสำคัญจากทั้งปัจจัยมหภาค โดยบีโอไอคาดระดับการลงทุนจากต่างประเทศคงตัวได้ที่ราว 5-6 แสนล้านบาท ความร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
และจุดแข็งของนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ซึ่งตอบโจทย์ธุรกิจที่หลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่ต้องการใช้พลังงานและน้ำจำนวนมาก และธุรกิจที่ต้องการใช้พลังงานสะอาดในการผลิตเป็นเงื่อนไขเพื่อขยายสู่ตลาดระดับสากล
เนื่องจากนิคมตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ที่เป็นจุดศูนย์กลางระหว่างแหล่งวัตถุดิบและเส้นทางการขนส่ง มีแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ แหล่งไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ และมีโรงไฟฟ้า 3 แห่งภายใต้ความร่วมมือกับ บมจ. บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) ซึ่งจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าสูงสุดครบ 400 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ การเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าจะผลักดันส่วนแบ่งกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่องได้ในระยะยาว
ด้วยแผนการดำเนินงานและกลยุทธ์เพื่อสร้าง All-Time High ในทุกธุรกิจ บริษัทฯ เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ในปี 2566 รายได้รวมของ สิงห์ เอสเตท จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 34% หรือมากกว่า 16,700 ล้านบาท ส่งผลต่ออัตรากำไร และผลตอบแทนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนจับมือพันธมิตรทั้งภายในและภายนอกเครือสิงห์ เอสเตท เพื่อสร้างแต้มต่อทางธุรกิจ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน นำเสนอสินค้าและบริการที่แตกต่าง (Product differentiation)
โดยธุรกิจที่พักอาศัย มุ่งก้าวเข้าสู่ตลาด Branded Residence ผ่านการร่วมมือกับ SHR ในอีกทางหนึ่ง การผนึกความร่วมมือยังช่วยให้รุกเร็วและปรับตัวไว (Speed to market) โดยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาของโรงแรมในเครือ SHR ทั้งในประเทศไทยและมัลดีฟส์
ซึ่งเป็นการร่วมมือกับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน รวมพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร ซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ราว 3 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี
โครงการดังกล่าวนอกจากจะช่วยสร้างผลงานที่น่าเชื่อถือให้ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานแล้ว ธุรกิจโรงแรมก็สามารถบริหารต้นทุนทางพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไปพร้อมกัน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนขยายการใช้พลังงานสะอาดไปยังโครงการที่มีศักยภาพอื่นๆ ของบริษัทฯ ในระยะข้างหน้าอีกด้วย
นอกจากนี้ เพื่อสร้างแต้มต่อในการก้าวเข้าสู่ธุรกิจ Flex space บริษัทฯ มีแผนร่วมมือกับผู้ประกอบการชั้นนำซึ่งมีสาขาครอบคลุมศูนย์กลางทางธุรกิจที่สำคัญๆ และมีระบบการบริหารจัดการที่ทันสมัยมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ บริษัทฯ จะเริ่มพัฒนาโครงการ Flex Space ในอาคารสำนักงานของบริษัทฯ เป็นลำดับแรก ขณะที่กลยุทธ์สร้างการเติบโตแบบ Speed to Market ของธุรกิจโรงแรมคือ Asset Light Model
ซึ่งจะตอบโจทย์การบริหารเงินลงทุนอย่างคุ้มค่าและมีจุดเด่นด้านความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการสูง โดยความแตกต่างที่สร้างให้ SHR โดดเด่นจากเครือโรงแรมอื่น คือการรับบริหารจัดการโรงแรมอื่นๆโดยไม่ได้จำกัดเฉพาะแบรนด์ ทราย (“SAii”) ซึ่งเป็น Homegrown brand ผ่านสัญญาบริหารจัดการโรงแรม (Hotel Management Agreement) แต่รวมถึงการรับบริหารจัดการโรงแรมภายใต้แบรนด์โรงแรมอื่น (Third Party Operator) อีกด้วย
การผนึกความแข็งแกร่งของธุรกิจในเครือ สิงห์ เอสเตท ผสานความร่วมมือจากพันธมิตรชั้นนำ จะเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญในการสร้างแต้มต่อให้กับธุรกิจ เสริมศักยภาพในการแข่งขัน ตลอดจนเพิ่มความเร็วในการตอบสนอง ส่งผลให้ สิงห์ เอสเตท สามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ตลอดระยะเวลา 3 ปีข้างหน้านี้..
สุดท้ายนี้ สิงห์ เอสเตท ยังตั้งเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปีพ.ศ. 2573 (ค.ศ.2030) และสร้างความหลากหลายที่สมดุลเพื่อให้สอดคล้องกับการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจ
โดยบริษัทตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 5% ต่อปี และการเพิ่มเทคโนโลยีนำพลังงานสะอาดมาใช้ในกระบวนการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้มีการรักษาพื้นที่ที่มีความสำคัญด้านความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติสูง อาทิ โรงแรมทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ หรือโครงการครอสโรดส์ มัลดีฟส์ เป็นต้น
“สิงห์ เอสเตท จะเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปภายใต้วิสัยทัศน์ในการการสร้างความหลากหลายที่สมดุล เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Diversity
โดยเราจะไม่หยุดแสวงหาโอกาสในการขยายรูปแบบการลงทุน เพื่อต่อยอดธุรกิจพัฒนาและบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลายอย่างมืออาชีพ ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย อสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า โรงแรม นิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน สร้างสรรค์สินค้าและบริการที่มีคุณภาพเหนือระดับเพื่อส่งมอบประสบการณ์ทรงคุณค่าให้ลูกค้า พร้อมยึดมั่นการดำเนินธุรกิจภายใต้ปรัชญาการกำกับดูแลกิจการที่ดี สร้างความสมดุลระหว่างผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ตลอดทั้งชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน” นางฐิติมา กล่าวทิ้งท้าย..