AutoX ในเครือ SCBX เปิดตัว “เงินไชโย” ลุยตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียน ตั้งเป้ายอดสินเชื่อ 70,000 ล้าน ในปี 68
11 พ.ย. 2022
ออโต้ เอกซ์ ผู้ให้บริการสินเชื่อที่มีทะเบียนเป็นหลักประกัน และวงเงินหมุนเวียน ภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ ประกาศเข้าสู่ตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนอย่างเป็นทางการ ภายใต้แบรนด์ “เงินไชโย” พร้อมตั้งเป้า ก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนชั้นนำของไทย ภายในปี 2568 ด้วยยอดสินเชื่อคงค้าง 70,000 ล้านบาท และฐานลูกค้า 1 ล้านราย
คุณอภิพันธ์ เจริญอนุสรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ออโต้ เอกซ์ จำกัด ได้ให้ข้อมูลของแบรนด์ “เงินไชโย” ว่าเกิดจากการที่คนไทยจำนวนมาก ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ แม้กว่า 95.7% ของคนไทย จะมีบัญชีเงินฝากเป็นของตัวเองก็ตาม
“จากผลสำรวจการเข้าถึงบริการทางการเงินภาคครัวเรือนปี 2563 โดยธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า กว่า 55% ของประชากรไทย หรือประมาณ 36 ล้านคนยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ”
แม้ว่าในวันนี้ “เงินไชโย” ของออโต้ เอกซ์ จะเพิ่งเปิดตัวแบรนด์อย่างเป็นทางการ แต่ในความจริงแล้ว เงินไชโย ได้เปิดให้บริการแบบ Soft Launch มาก่อนแล้ว ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา
และในช่วงเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา เงินไชโย ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้คุณอภิพันธ์ ตั้งเป้าว่า เงินไชโย จะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ราว 80,000 คน พร้อมทั้งปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนได้ 10,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสินเชื่อรถจักรยานยนต์ในสัดส่วน 50% สินเชื่อรถยนต์ 25% และสินเชื่อรถยนต์เชิงพาณิชย์อีก 25%
ในด้านการให้บริการ คุณอภิพันธ์ ให้ข้อมูลว่า สาขาของเงินไชโย จะแยกออกจากสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์อย่างสิ้นเชิง โดยในปัจจุบันมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 1,200 แห่ง ทั่วประเทศ สามารถให้บริการลูกค้าได้ แม้จะอยู่ในตำบลเล็ก ๆ และในอนาคตภายในปี 2568 คุณอภิพันธ์ตั้งเป้าไว้ว่า เงินไชโยจะขยายสาขาไปได้ราว 3,000 แห่ง ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ คุณอภิพันธ์ ยังได้กล่าวถึงจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเงินไชโย นั่นคือการมีเจ้าหน้าที่ที่ค่อยให้บริการลูกค้าถึงบ้าน โดยที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเข้ามาที่สาขา เช่นเดียวกันกับแอปพลิเคชัน เงินไชโย และ LINE Connect ที่พร้อมให้บริการด้วยเช่นกัน
ส่วนในด้านเป้าหมายการทำธุรกิจของเงินไชโยนั้น คุณอภิพันธ์ ตั้งเป้าหมายไว้ว่า เงินไชโย จะมีลูกค้าราว 1 ล้านราย มียอดสินเชื่อคงค้างราว 70,000 ล้านบาท และทำกำไรได้ราว 3,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 หรือในอีกไม่ถึง 3 ปีข้างหน้านี้