ย้อนรอยความสำเร็จของ AirPods หูฟังที่คนทั้งโลกเคย “หัวเราะเยาะ” ใส่

ย้อนรอยความสำเร็จของ AirPods หูฟังที่คนทั้งโลกเคย “หัวเราะเยาะ” ใส่

8 ต.ค. 2022
ถ้าผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของ Apple ในยุคของ “สตีฟ จอบส์” คือ iPhone
แล้วผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของ Apple ในยุคของ “ทิม คุก” คืออะไร ?
เรื่องนี้หลายคนคงมีคำตอบในใจที่แตกต่างกัน เพราะ Apple ในยุคของทิม คุก ก็มีหลายผลิตภัณฑ์และบริการที่น่าจดจำ ไม่แพ้ในยุคของสตีฟ จอบส์ เลย
แต่ถ้าจะให้เลือกมาสักหนึ่งชิ้นจริง ๆ
ก็คงต้องพูดถึง “AirPods” หูฟังไร้สายที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหู ถึงดิไซน์สุดแปลกของมันในช่วงแรก
เพราะใครจะรู้ว่า หูฟังสุดแปลกในวันนั้น ที่ใคร ๆ ก็หัวเราะเยาะว่าใส่แล้วดูตลก
วันนี้กลับกลายมาเป็นหูฟัง ที่เห็นคนใส่กันทั่วบ้านทั่วเมือง
และเป็นไอเทมประจำตัวของคนใช้ iPhone หรือแม้แต่คนใช้สมาร์ตโฟนแบรนด์อื่น ๆ
ซึ่ง AirPods นี้เอง สามารถขายไปได้กว่า 120 ล้านคู่
หรือสร้างรายได้กว่า 800,000 ล้านบาทให้กับ Apple..
ตามการคาดการณ์ของ IDC ในปี 2021 ที่ผ่านมา
โดยในบทความนี้ MarketThink จะอาสาพาทุกคนไปเจาะเบื้องหลังแนวคิด
ว่า Apple ทำอย่างไร ถึงทำให้หูฟังที่คนทั้งโลกเคยหัวเราะเยาะใส่ กลายเป็นหูฟังยอดฮิต ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดมากสุดในตลาดหูฟังไร้สาย อย่างทุกวันนี้
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2016..
AirPods เป็นหูฟังที่เกิดขึ้นมาเพื่อแก้ Pain Point ของหูฟังไร้สายในยุคนั้น ที่มีปัญหาในการเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟน
เพราะทุกครั้งที่ผู้ใช้ ต้องการใช้หูฟังไร้สาย จะต้องเข้าไปที่หน้าตั้งค่าบลูทูทเพื่อจับคู่อุปกรณ์ ซึ่งบางครั้งอาจใช้เวลานาน อีกทั้งผู้ใช้ยังต้องคอยจับคู่อุปกรณ์ใหม่ทุกครั้งที่ใช้งานอีกด้วย
ดังนั้นการเปิดตัวของ AirPods ที่แค่เปิดฝาก็สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ อย่างเช่น iPhone ได้เลย จึงถือเป็นเรื่องใหม่ในวงการหูฟังไร้สายยุคนั้นอย่างมาก
โดย Phil Schiller หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ Apple ในตอนนั้น ได้กล่าวไว้ว่า
AirPods ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ดี ๆ ที่แบรนด์อื่นไม่มีทางทำได้
นั่นก็เพราะ Apple ได้มีการจดลิขสิทธิ์บลูทูทชนิดพิเศษ ที่สามารถให้ผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Apple ทั้งหมดสามารถเชื่อมต่อกันได้ตลอด โดยไม่ต้องจับคู่ใหม่นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก AirPods เป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จากสื่อหลายสำนักที่บอกว่า
“AirPods ยังมีคุณภาพเสียงด้อยกว่าแบรนด์อื่นอยู่”
“AirPods ไม่กันน้ำ ไม่เหมาะกับการใส่ออกกำลังกาย”
“AirPods มีหน้าตาเหมือนกับอาหารที่ทำไม่เสร็จ แล้วเอามาเสิร์ฟลูกค้า”
ซึ่งมันก็แน่นอนอยู่แล้ว เพราะว่า AirPods นั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพกับสมาร์ตโฟนแบรนด์อื่น นอกจาก iPhone
เพราะว่าตลาดหูฟังในสมัยนั้น ก็มักจะแข่งขันกันในเรื่องของคุณภาพของเสียง, ราคา และดิไซน์กันมากกว่า
โดยทั้งหมดที่กล่าวมา ก็ต่างมีเจ้าตลาดที่เป็น Top of mind ของผู้บริโภคอยู่แล้วทั้งนั้น (เช่น Bose, Sony ที่เป็น Top of mind ด้านคุณภาพ)
ซึ่งถ้า Apple เลือกที่จะลงไปเล่นในตลาดหูฟังที่ตัวเองไม่ได้มีชื่อเสียงทางด้านนี้มาก่อนแบบตรง ๆ
ก็อาจจะดูเป็นเกมที่เสียเปรียบไปหน่อย
ดังนั้นการเลือกออกแบบหูฟังให้ “คนที่ใช้ iPhone” ที่ตอนนั้นครองส่วนแบ่งการตลาดสมาร์ตโฟนอยู่ราว ๆ 17% จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
เพราะมีฐานลูกค้ารองรับ แถมยังไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร และยังช่วยเสริมแกร่งให้กับ Ecosystem ของตัวเองได้อีกด้วย
โดยวิธีที่ Apple ใช้ในการกีดกันคู่แข่งของ AirPods ออกไป ก็น่าสนใจไม่น้อย
เพราะ Apple ได้มีการ “ตัดแจ็กขนาด 3.5 mm” ที่สามารถเสียบหูฟังได้แทบทุกแบรนด์บนโลก ออกตั้งแต่ iPhone 7 เป็นต้นมา แล้วแทนที่ด้วยพอร์ต Lightning เพียงพอร์ตเดียว..
ซึ่งเป็นการบีบให้ผู้ใช้ iPhone มีทางเลือกให้กับหูฟังของตัวเองแค่ไม่กี่ทาง คือ
1. ใช้หูฟังของ Apple ที่เป็นพอร์ต Lightning ที่แถมมากับตัวเครื่อง แต่หูฟังอันนั้นจะไม่สามารถนำมาเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้เลย แม้แต่ MacBook ที่เป็นของ Apple เอง (MacBook ไม่มีพอร์ต Lightning)
2. ใช้หูฟังของแบรนด์อื่นที่ใช้แจ็กขนาด 3.5 mm แต่ต้องหาอะแด็ปเตอร์มาแปลงพอร์ตเป็น Lightning ก่อน เพื่อจะนำมาเชื่อมกับ iPhone
3. ใช้หูฟังไร้สายของแบรนด์อื่น ที่อาจจะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ของ Apple ได้ก็จริง แต่ก็ยังไม่สามารถให้ประสบการณ์เชื่อมต่อแบบไร้รอยต่อได้อย่าง AirPods
4. ยอมเปลี่ยนมาใช้ AirPods ที่ใช้ได้กับทุกผลิตภัณฑ์ของ Apple แบบไร้รอยต่อ..
และแน่นอนว่า Apple อยากให้ทุกคนเลือก AirPods..
เห็นได้จากการยกเลิกการแจกอะแด็ปเตอร์ 3.5 mm to Lightning ใน iPhone ทุกรุ่น เพื่อผลักภาระไปให้ผู้ที่ยังต้องการใช้หูฟังของแบรนด์อื่น ต้องเสียเงินมากกว่าเดิม
รวมไปถึงยังมีการยกเลิกการแถมหูฟังแบบมีสายของตัวเองใน iPhone ทุกรุ่น
โดย Apple บอกว่า ที่ทำไปทั้งหมดนั้นก็เพื่อ “รักษาสิ่งแวดล้อม..”
ถึงแม้มันจะดูไม่แฟร์ไปสักหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับว่า วิธีแบบนี้ถือเป็นการตัดคู่แข่งของ AirPods ได้ดีมาก ๆ
เพราะถึงแม้หูฟังของคู่แข่ง จะมีคุณภาพดีแค่ไหน แต่ถ้าเจอข้อจำกัดหลาย ๆ อย่าง และสร้างประสบการณ์เชื่อมต่อแบบไร้รอยต่ออย่าง AirPods ไม่ได้
ก็คงสู้ด้วยลำบากสักหน่อย..
แถมคนที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ของ Apple อยู่แล้ว ก็จะยิ่งเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่นยากขึ้น เพราะ AirPods เพียงอันเดียว สามารถเชื่อมได้ทั้ง Apple Watch, iPad, MacBook และ iPhone ผ่าน Ecosystem ของ Apple นั่นเอง..
อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนคงจะเห็นภาพแล้วว่า ทำไมยอดขายของ AirPods ถึงเติบโตตาม iPhone มากขึ้นไปเรื่อย ๆ ในแต่ละปี
แล้วถ้าลองมองดี ๆ จะเห็นได้ว่า AirPods นั้นยังสามารถสร้างเม็ดเงินให้กับ Apple ได้อีกมาก
เพราะอายุการใช้งานเฉลี่ยของ AirPods ที่อยู่ได้ราว ๆ 2-3 ปีเท่านั้น โดยวัดจากอายุการใช้งานเฉลี่ยของแบตเตอรี่ ซึ่ง Apple ไม่มีบริการเปลี่ยนให้เหมือนกับอุปกรณ์อื่น ๆ ทำให้ผู้ใช้ต้องซื้อใหม่อย่างเดียว..
และอีกอย่างก็คือ AirPods เป็นหูฟังที่ “หายง่ายมาก”
จนทำให้บางคนอาจจะทำหาย และต้องซื้ออันใหม่ ตั้งแต่ยังผ่อนอันเก่าไม่หมดด้วยซ้ำ..
ซึ่งมันก็หมายถึงรายได้มหาศาล ที่จะเข้ากระเป๋า Apple ไปเรื่อย ๆ ได้อีกยาว..
จากเรื่องราวทั้งหมด ถ้าจะบอกว่า AirPods นั้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคของทิม คุก ก็ดูจะไม่เกินไปนัก
เพราะ AirPods ไม่ได้ประสบความสำเร็จด้านกำไรหรือยอดขายเท่านั้น
แต่ยังประสบความสำเร็จในการปฏิวัติวงการหูฟังของมนุษย์ไปตลอดกาล..
ซึ่งถือว่าไม่เลวเลยสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ Apple ใช้เวลาพรีเซนต์ในตอนเปิดตัว เพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น..
อ้างอิง:
-https://www.bloomberg.com/news/features/2022-09-22/apple-AirPods-sales-bode-well-for-vr-headset?srnd=businessweek-v2
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.