เอปสัน หนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ใช้ความยั่งยืนปั้นธุรกิจ เผยกรณีศึกษา 3 แบรนด์ธุรกิจ ที่ประสบความสำเร็จ
4 ต.ค. 2022
เอปสัน เดินหน้าผลักดันความยั่งยืนให้เติบโตยิ่งขึ้นในภาคธุรกิจ ล่าสุดดึง 3 แบรนด์ธุรกิจคนรุ่นใหม่อย่าง
HE KNOWS แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นรักโลก
Maddy Hopper แบรนด์รองเท้าจากวัสดุธรรมชาติของไทย
Qualy แบรนด์สินค้าตกแต่งบ้านจากวัสดุรีไซเคิลที่ตีตลาดทั่วโลก
HE KNOWS แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นรักโลก
Maddy Hopper แบรนด์รองเท้าจากวัสดุธรรมชาติของไทย
Qualy แบรนด์สินค้าตกแต่งบ้านจากวัสดุรีไซเคิลที่ตีตลาดทั่วโลก
ร่วมจัดสัมมนา “Day One with Sustainability” หรือ ก้าวแรกธุรกิจด้วยความยั่งยืน
ถ่ายทอดเรื่องราวการใช้แนวคิดด้านความยั่งยืน มาสร้างธุรกิจให้สำเร็จ จนเป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่
ให้กับเหล่านักศึกษาที่เตรียมตัวเป็นเจ้าของกิจการในอนาคต
ถ่ายทอดเรื่องราวการใช้แนวคิดด้านความยั่งยืน มาสร้างธุรกิจให้สำเร็จ จนเป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่
ให้กับเหล่านักศึกษาที่เตรียมตัวเป็นเจ้าของกิจการในอนาคต
โดยงานสัมมนาครั้งที่ 1 จะจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ณ ห้องเรียนรวม 10201 ในวันที่ 12 ตุลาคม
และงานครั้งที่ 2 จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ณ ห้อง A3-301 ในวันที่ 18 พฤศจิกายน
และงานครั้งที่ 2 จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ณ ห้อง A3-301 ในวันที่ 18 พฤศจิกายน
นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า
ตั้งแต่แรก เอปสันได้กำหนดแนวทางในการทำธุรกิจให้เดินคู่ไปกับการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมรอบบริษัทฯ ที่จังหวัดนากาโน่ ประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะขยายขอบเขตความรับผิดชอบให้กว้างขึ้น
ตั้งแต่แรก เอปสันได้กำหนดแนวทางในการทำธุรกิจให้เดินคู่ไปกับการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมรอบบริษัทฯ ที่จังหวัดนากาโน่ ประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะขยายขอบเขตความรับผิดชอบให้กว้างขึ้น
จนเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการกำจัดสารซีเอฟซี ที่ทำลายชั้นโอโซนออกจากกระบวนการผลิตทั้งหมดได้ในปี 1993 และได้เริ่มทำงานร่วมกับองค์การสหประชาชาติมาตั้งแต่ปี 2004 รวมถึงสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (UN Sustainable Development Goals)
ปัจจุบัน ความยั่งยืนไม่ใช่แค่ไอเดียเพื่อแคมเปญ CSR เท่านั้น องค์กรทั่วโลกตื่นตัวมากขึ้นกับการเชื่อมโยงธุรกิจ สินค้าและบริการเข้ากับคุณค่าด้านนี้ บางองค์กรยกให้ความยั่งยืนเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปอีกหลายสิบปีข้างหน้า
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ผู้คนหันมานิยมสินค้าจากผู้ผลิตที่ยึดถือความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจและเต็มใจที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกลุ่ม Millennial และ Gen Z ที่ไม่ได้เลือกซื้อสินค้าเพราะราคาเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม และมีส่วนตอบแทนสังคม
การที่ผู้ผลิตแสดงบทบาทในการรักษาสิ่งแวดล้อม จึงถือเป็นความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันทางธุรกิจ
“เอปสัน ได้ใช้หลักความยั่งยืนตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต ตลอดจนถึงขั้นตอนบรรจุห่อและโลจิสติกส์ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยี Heat-Free ที่ใช้ในเครื่องพิมพ์สำนักงาน ซึ่งไม่ใช้ความร้อนในกระบวนการพิมพ์
จึงช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่าเครื่องพิมพ์เลเซอร์ถึง 85% และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 85%”
“การที่เอปสันเชื่อมโยงความยั่งยืนเข้ากับกลไกธุรกิจตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้บริษัทฯ เป็นหนึ่งในองค์กรที่มีความชัดเจนและประสบความสำเร็จในการสร้างความเติบโตทางธุรกิจ ไปพร้อมกับการรักษาสิ่งแวดล้อมของโลกได้
ซึ่งนี่คือที่มาของการจัดงานสัมมนา หัวข้อ Day One with Sustainability”
ด้านผู้ประกอบการทั้ง 3 แบรนด์ได้กล่าวถึงการผสานความยั่งยืนเข้ากับความคิดริเริ่มในการทำธุรกิจของตน
โดยนางสาวปานไพลิน พิพัฒนสกุล ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ SHE KNOWS เสื้อผ้าแฟชั่นสตรี เจ้าของสโลแกน “Greener Fashion for All” กล่าวว่า
แบรนด์ SHE KNOWS เกิดขึ้นในปี 2018 โดยนำแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้ามาสร้างความแตกต่างและทางเลือกให้กับสินค้าเสื้อผ้าผู้หญิง โดยคำนึงถึงมาตรฐานที่ดีขึ้นใน 3 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม แรงงาน และลูกค้า
SHE KNOWS ไม่เพียงแต่เลือกใช้ผ้ารีไซเคิล เศษผ้าเหลือจากโรงงาน แต่ยังใช้กรรมวิธีย้อมสีในระบบปิด ซึ่งไม่มีการปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำ
ส่วนแพ็กเกจจิง ก็ใช้กระดาษรีไซเคิลและออกแบบให้ลูกค้าสามารถใช้ซ้ำ เผื่อส่งกลับหากกรณีที่ต้องการเปลี่ยนไซส์
ส่วนแพ็กเกจจิง ก็ใช้กระดาษรีไซเคิลและออกแบบให้ลูกค้าสามารถใช้ซ้ำ เผื่อส่งกลับหากกรณีที่ต้องการเปลี่ยนไซส์
ด้านแรงงาน ชุดของ SHE KNOWS ส่วนใหญ่เป็นแฮนด์เมด โดยช่างฝีมือคนไทย ไม่ได้ใช้เครื่องจักรในโรงงาน จึงช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
และในส่วนของลูกค้า SHE KNOWS เน้นการตัดเย็บที่ประณีต ทนทานกว่าเสื้อผ้า Fast Fashion หลายเท่า แต่ราคาถูกกว่ามาก เมื่อเทียบกับแบรนด์เสื้อผ้าเพื่อสิ่งแวดล้อมจากต่างประเทศ ลูกค้าสามารถใช้ได้นาน ไม่ต้องรีบเปลี่ยน
“SHE KNOWS เน้นการสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง โดยใช้สื่อออนไลน์และ Word of mouth เน้นจุดเด่นมัดใจลูกค้า ทั้งในด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดีไซน์สไตล์ Basic Wear ใช้ได้บ่อยไม่เบื่อ ราคาที่จับต้องได้ และขนาดของชุด ที่มีให้เลือกมากถึง 18 ไซส์ในแต่ละคอลเลกชัน
ซึ่งฐานลูกค้า 70% ของ SHE KNOWS มาจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุระหว่าง 19-29 ปี โดยในปีนี้ มียอดซื้อสินค้าเข้ามาเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 50% จากปีก่อน
นอกจากนี้ SHE KNOWS กำลังศึกษาเรื่องการทำตลาดส่งออก โดยจะเริ่มที่ตลาดในภูมิภาคนี้ก่อน รวมถึงตลาดชาวเอเชียที่เกิดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการเสื้อผ้าไซส์ใหญ่ และมีความสนใจในตัวสินค้าที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว
ทั้งยังมีแผนจะขยายกำลังการผลิต และเพิ่มไลน์สินค้าขึ้นอีก”
อีกหนึ่งผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ SHE KNOWS นางสาวธัญญรัตน์ ตรีสุรมงคลโชติ กล่าวเสริมว่า
“ความท้าทายในการทำธุรกิจด้วยความยั่งยืน คือ ต้นทุนการผลิต ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ ไม่ควรผลักให้เป็นภาระของผู้บริโภค
“ความท้าทายในการทำธุรกิจด้วยความยั่งยืน คือ ต้นทุนการผลิต ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ ไม่ควรผลักให้เป็นภาระของผู้บริโภค
SHE KNOWS พยายามค้นหาวัตถุดิบใหม่ ๆ นำเรื่องของดีไซน์เข้ามาช่วย เลือกใช้ช่างตัดเย็บที่มีทักษะสูง โดยให้ผลตอบแทนที่ดี เพื่อได้คุณภาพงานที่ประณีต และตั้งราคาที่สมเหตุสมผล ผู้บริโภคสามารถจับต้องได้ง่าย
เราต้องหาและรักษาจุดสมดุล เพื่อให้ทั้งธุรกิจ พาร์ตเนอร์ และลูกค้าได้รับประโยชน์ที่สมควร”
ด้านแบรนด์ Maddy Hopper รองเท้ารักษ์โลก โดยนายชาญ สิทธิญาวณิชย์ ผู้ร่วมก่อตั้ง กล่าวว่า
Maddy Hopper เริ่มทำการตลาดอย่างจริงจังมาปีกว่า โดยต้องการนำเสนอสินค้ารองเท้าที่ผสานฟังก์ชันเข้ากับความยั่งยืน ทั้งใส่ง่าย ดีไซน์สวย ราคาจับต้องได้ และต้องรักษาสิ่งแวดล้อม
Maddy Hopper เริ่มทำการตลาดอย่างจริงจังมาปีกว่า โดยต้องการนำเสนอสินค้ารองเท้าที่ผสานฟังก์ชันเข้ากับความยั่งยืน ทั้งใส่ง่าย ดีไซน์สวย ราคาจับต้องได้ และต้องรักษาสิ่งแวดล้อม
ซึ่งส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในตลาดเป็นแบรนด์ต่างประเทศ จึงเริ่ม R&D โดยศึกษาวัตถุดิบธรรมชาติที่มีอยู่ในประเทศ และได้ค้นพบผ้าจากขวดพลาสติกรีไซเคิลที่นำมาทำเป็นตัวรองเท้า และยางพารารีไซเคิลสำหรับแผ่นรองด้านใน ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่สามารถรองรับน้ำหนักได้ดี ลดการเกิดแบคทีเรีย ทั้งยังช่วยการหมุนเวียนของเลือด
นอกจากวัสดุที่ใช้ทำรองเท้า Maddy Hopper ยังเลือกใช้กระบวนการผลิตแบบแฮนด์เมด เพื่อลดการใช้เครื่องจักรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอน และใช้แพ็กเกจจิงที่ทำจากกระดาษรีไซเคิล และถุงห่อจากข้าวโพดและมันสำปะหลัง
นายภาคิน โรจนเวคิน อีกหนึ่งผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Maddy Hopper เสริมว่า
“กลุ่มลูกค้าที่สนใจ Maddy Hopper เป็นกลุ่ม Gen Y และ Z กว่า 80% เพราะชื่นชอบในคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ที่นำความยั่งยืนเข้ามาใช้
“กลุ่มลูกค้าที่สนใจ Maddy Hopper เป็นกลุ่ม Gen Y และ Z กว่า 80% เพราะชื่นชอบในคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ที่นำความยั่งยืนเข้ามาใช้
ปัจจุบัน แบรนด์ได้ทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก และมีแผนที่จะแตกไลน์สินค้าเพิ่มขึ้นจากรองเท้า แต่ยังยึดแนวทางรักษาสิ่งแวดล้อมเช่นเดิม และเตรียมจะเปิดจุดขายในโซน CBD อย่างน้อยอีก 2 จุด เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงและสัมผัสสินค้า Maddy Hopper ได้มากขึ้น
โดยหลังจากทำตลาดอย่างจริงจังมาได้ปีกว่า คาดว่าภายในสิ้นปี 2022 จะมียอดขายเพิ่มขึ้น 30% และตั้งเป้าเติบโตอีกเท่าตัวในปี 2023
ก่อนจะทำตลาดส่งออกในปี 2 ปีจากนี้ โดยจะเริ่มที่ภูมิภาคนี้ก่อน เพราะมีพฤติกรรมการซื้อสินค้าแบบเดียวกับคนไทย”
ก่อนจะทำตลาดส่งออกในปี 2 ปีจากนี้ โดยจะเริ่มที่ภูมิภาคนี้ก่อน เพราะมีพฤติกรรมการซื้อสินค้าแบบเดียวกับคนไทย”
ในส่วนของ Qualy แบรนด์สินค้าตกแต่งบ้านที่ทำจากวัสดุรีไซเคิลของคนไทย ซึ่งปัจจุบัน เป็นที่นิยมใน 66 ประเทศทั่วโลก เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เริ่มนับหนึ่งธุรกิจพร้อมกับความยั่งยืน
โดยนายทศพล ศุภเมธีกูลวัฒน์ ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด Qualy Design กล่าวว่า
Qualy เริ่มสร้างแบรนด์เมื่อ 18 ปีที่แล้ว โดยยึดหลักความยั่งยืนมาตั้งแต่คอลเลกชันแรก ทั้งวัสดุที่เลือกใช้เป็นวัสดุรีไซเคิล ช่วยลดการนำทรัพยากรใหม่มาใช้ การออกแบบผลิตภัณฑ์ก็คำนึงถึงอายุการใช้งานที่ยาวนาน และลดการใช้ทรัพยากร
Qualy เริ่มสร้างแบรนด์เมื่อ 18 ปีที่แล้ว โดยยึดหลักความยั่งยืนมาตั้งแต่คอลเลกชันแรก ทั้งวัสดุที่เลือกใช้เป็นวัสดุรีไซเคิล ช่วยลดการนำทรัพยากรใหม่มาใช้ การออกแบบผลิตภัณฑ์ก็คำนึงถึงอายุการใช้งานที่ยาวนาน และลดการใช้ทรัพยากร
ส่วนบรรจุภัณฑ์ก็มีขนาดเล็กหรือน้ำหนักเบา เพื่อประหยัดการขนส่ง ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยมลพิษจากยานพาหนะ
นอกจากนี้ ทุกผลิตภัณฑ์ยังเน้นการสื่อสารปัญหาสิ่งแวดล้อมไปสู่ผู้บริโภค
นอกจากนี้ ทุกผลิตภัณฑ์ยังเน้นการสื่อสารปัญหาสิ่งแวดล้อมไปสู่ผู้บริโภค
ปัจจุบัน Qualy ได้รับความนิยมอย่างมากจากกลุ่มผู้ที่ชอบตกแต่งบ้าน ชอบไลฟ์สไตล์ที่ดี และใส่ใจต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งนับวันฐานลูกค้ากลุ่มนี้จะขยายเพิ่มมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ
“Qualy ทำตลาดทั้งในประเทศและตลาดส่งออกมาตั้งแต่เริ่มต้น แต่ตลาดต่างประเทศให้การตอบรับมากกว่าและรวดเร็วกว่า เนื่องจากผู้คนตื่นตัวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและพิถีพิถันกับการตกแต่งบ้านและการใช้ชีวิตประจำวัน
Qualy ขยายตลาดต่างประเทศ ผ่านการเปิดบริษัทกระจายสินค้าของตัวเองและร่วมมือกับตัวแทนจำหน่าย เพื่อนำสินค้าไปขายในประเทศต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีตลาดอยู่ในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น จีน ออสเตรเลีย และทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Qualy ขยายตลาดต่างประเทศ ผ่านการเปิดบริษัทกระจายสินค้าของตัวเองและร่วมมือกับตัวแทนจำหน่าย เพื่อนำสินค้าไปขายในประเทศต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีตลาดอยู่ในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น จีน ออสเตรเลีย และทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ส่วนในเมืองไทย มีสินค้า Qualy จำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และผ่านช่องทางออนไลน์ แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สังคมธุรกิจตื่นตัวกับกระแสความยั่งยืนอย่างมาก
องค์กรธุรกิจจำนวนมากหันมาจริงจังกับประเด็นสิ่งแวดล้อม ถึงขั้นนำความยั่งยืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการออกแบบและผลิตสินค้า นอกเหนือจากกิจกรรม CSR ทำให้ Qualy ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับองค์กรขนาดใหญ่จำนวนมาก”
“การทำธุรกิจด้วยความยั่งยืน จำเป็นต้องหาจุดสมดุลที่ว่าธุรกิจต้องสามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน พร้อมกับสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนด้วย เพราะธุรกิจที่ใช้วัสดุรีไซเคิล จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าธุรกิจทั่วไป เพื่อทำให้สินค้ามีความแตกต่าง
สินค้ารักษ์โลกในอดีตเป็นเรื่องของแฟชั่น คนใช้จำกัดอยู่ในวงแคบ เพราะมีราคาสูง แต่ Qualy พยายามที่จะทำให้สินค้านี้กลายเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ มีราคาจับต้องได้ เข้าถึงคนได้จำนวนมาก”