รองเท้าชื่อดัง TOMS จะขายกิจการให้เจ้าหนี้
28 ธ.ค. 2019
ทามกลางการแข่งขันที่รุนแรง การบริหารกลยุทธ์ที่ผิดพลาด ทำให้บริษัทเจ้าของแบรนด์รองเท้าชื่อดัง TOMS เผชิญกับยอดขายที่ลดลง และต้องดิ้นรนชำระหนี้ที่บริษัทก่อขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะครบกำหนดชำระในปี 2020
บรรดาเจ้าหนี้ของบริษัท Toms Shoes LLC ซึ่งนำโดย Jefferies Financial Group Inc, Nexus Capital Management LP และ Brookfield Asset Management Inc จึงตกลงเข้าเทคโอเวอร์บริษัท เพื่อแลกกับการปรับโครงสร้างหนี้
โดยจะมารับช่วงกิจการต่อจาก ผู้ก่อตั้ง Blake Mycoskie และ Bain Capital LP ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่เข้ามาลงทุนในหุ้นบริษัท 50% ตอนปี 2014
ซึ่งรายละเอียดข้อตกลงนี้ เจ้าหนี้จะผ่อนปรนหนี้ให้กับบริษัท และจะเสนอลงทุนเพิ่มอีก 35 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,060 ล้านบาท เพื่อช่วยให้บริษัทได้มีโอกาสเติบโตต่อไป
และไม่ชัดเจนว่าผู้ก่อตั้ง Mycoskie จะยังคงมีบทบาทในบริษัทหรือไม่ เพราะเขาจะไม่ได้เป็นเจ้าของอีกต่อไป
TOMS ก่อตั้งในปี 2006 โดย Blake Mycoskie ชาวอเมริกัน ซึ่งมีโอกาสได้ไปเยือนอาร์เจนติน่า
และได้สัมผัสชีวิตที่ทุกข์ยากของเด็กๆ โดยเห็นเด็กเดินเท้าเปล่าไปโรงเรียน
มันทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจ และมีไอเดียอยากจะแบ่งปันรองเท้าให้กับเด็กๆ
และได้สัมผัสชีวิตที่ทุกข์ยากของเด็กๆ โดยเห็นเด็กเดินเท้าเปล่าไปโรงเรียน
มันทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจ และมีไอเดียอยากจะแบ่งปันรองเท้าให้กับเด็กๆ
แต่การรับบริจาครองเท้า เพื่อแจกจ่ายให้กับเด็กๆ หรือรอองค์การกุศลต่างๆ มาช่วยเหลือ
มันอาจไม่ทันใจ และไม่ตอบโจทย์ ทั้งเรื่องความต่อเนื่อง และการบริจาครองเท้าที่ทั่วถึงได้
มันอาจไม่ทันใจ และไม่ตอบโจทย์ ทั้งเรื่องความต่อเนื่อง และการบริจาครองเท้าที่ทั่วถึงได้
ดังนั้น หนทางที่เขาคิดว่าดีที่สุดคือ การสร้างธุรกิจที่มีกำไรและอยู่ได้อย่างยั่งยืน แล้วเอากำไรมาช่วยผู้คน
โดยบริษัทที่เขาตั้งขึ้นจะใช้โมเดลธุรกิจ One for One หรือซื้อ 1 บริจาคให้ 1
ก็คือ เมื่อลูกค้าซื้อรองเท้า TOMS 1 คู่ บริษัทจะบริจารรองเท้า TOMS อีก 1 คู่ให้กับเด็กๆ ที่ยากจนและขาดแคลนรองเท้าสักคนบนโลกนี้
“คุณซื้อรองเท้าเรา เราบริจาครองเท้าในนามคุณ”
ก็คือ เมื่อลูกค้าซื้อรองเท้า TOMS 1 คู่ บริษัทจะบริจารรองเท้า TOMS อีก 1 คู่ให้กับเด็กๆ ที่ยากจนและขาดแคลนรองเท้าสักคนบนโลกนี้
“คุณซื้อรองเท้าเรา เราบริจาครองเท้าในนามคุณ”
ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา TOMS ได้บริจาครองเท้าไปแล้ว 94 ล้านคู่ สู่เด็กๆ ในพื้นที่ทุรกันดาร กว่า 70 ประเทศทั่วโลก