RS ยื่น IPO นำ “เชฎฐ์ เอเชีย” ผู้ให้บริการติดตามทวงถามหนี้แบบครบวงจร เข้าตลาดหุ้น
22 ส.ค. 2022
บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS เตรียมแผนการออกและเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ ของบริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ เชฎฐ์ ให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
เพื่อระดมทุน เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน สร้างโอกาสและการเติบโตทางธุรกิจของเชฎฐ์
เพื่อระดมทุน เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน สร้างโอกาสและการเติบโตทางธุรกิจของเชฎฐ์
คุณสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
“RS นำบริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและรองรับแผนการเติบโตในอนาคต
“RS นำบริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและรองรับแผนการเติบโตในอนาคต
โดยจะเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 562 ล้านหุ้น
แผนการ Spin-Off ในครั้งนี้ ดำเนินการผ่านทาง บริษัท อาร์ อัลไลแอนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ RS ที่ปัจจุบันถือหุ้นในเชฏฐ์อยู่ 35%
แผนการ Spin-Off ในครั้งนี้ ดำเนินการผ่านทาง บริษัท อาร์ อัลไลแอนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ RS ที่ปัจจุบันถือหุ้นในเชฏฐ์อยู่ 35%
ส่วนหนึ่งของหุ้น IPO ที่จะขายในครั้งนี้มาจากการเสนอขายหุ้นสามัญเดิมที่บริษัท อาร์ อัลไลแอนซ์ ถือในเชฎฐ์ และเตรียมให้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นของ RS จองซื้อหุ้น IPO ของเชฎฐ์ได้
ซึ่งหลังการเสนอขายหุ้น IPO ของเชฎฐ์
บริษัทฯ จะมีสัดส่วนการถือหุ้นในเชฎฐ์ ลดลงจากเดิม 35% เป็น 20.35%
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงเป็น Strategic shareholder ของกลุ่มบริษัทเชฎฐ์ และรักษาสัดส่วนการถือหุ้นในเชฎฐ์ให้เป็นบริษัทร่วมของบริษัทฯ เพื่อสร้าง Synergy ต่าง ๆ ร่วมกัน
บริษัทฯ จะมีสัดส่วนการถือหุ้นในเชฎฐ์ ลดลงจากเดิม 35% เป็น 20.35%
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงเป็น Strategic shareholder ของกลุ่มบริษัทเชฎฐ์ และรักษาสัดส่วนการถือหุ้นในเชฎฐ์ให้เป็นบริษัทร่วมของบริษัทฯ เพื่อสร้าง Synergy ต่าง ๆ ร่วมกัน
ดังนั้น การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยให้กลุ่มบริษัทเชฎฐ์ เติบโตอย่างก้าวกระโดดจากเงินทุนใหม่ที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้”
คุณประชา ชัยสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
“การระดมทุนจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้ จะนำไปใช้ขยายธุรกิจให้บริการติดตามทวงถามหนี้แบบครบวงจร
“การระดมทุนจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้ จะนำไปใช้ขยายธุรกิจให้บริการติดตามทวงถามหนี้แบบครบวงจร
พร้อมทั้งลงทุนขยายฐานสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เพื่อนำมาบริหารจัดการให้ดีขึ้นผ่านการเข้าร่วมประมูลซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินหรือบริษัทต่าง ๆ
ทั้งยังเป็นการยกระดับมาตรฐานของเชฎฐ์เข้าสู่มาตรฐานสากล เพิ่มความน่าเชื่อถือในด้านภาพลักษณ์ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าและคู่ค้า รวมถึงเพิ่มศักยภาพและโอกาสในการแข่งขัน”
ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทเชฎฐ์ ประกอบไปด้วยธุรกิจ
-ให้บริการติดตามทวงถามหนี้แบบครบวงจร
-บริหารจัดการสินทรัพย์จากการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
-ให้สินเชื่อเพื่อแก้ปัญหาหนี้เสีย
-ให้บริการติดตามทวงถามหนี้แบบครบวงจร
-บริหารจัดการสินทรัพย์จากการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
-ให้สินเชื่อเพื่อแก้ปัญหาหนี้เสีย
โดยเชฎฐ์ มีบริษัทย่อย 3 บริษัท ได้แก่
1. บริษัท บริหารสินทรัพย์ ซีเอฟ เอเชีย จำกัด
ประกอบธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพการจากรับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกอบธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพการจากรับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย
2. บริษัท รีโซลูชั่น เวย์ จำกัด
ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย และรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากผู้ประกอบธุรกิจสถาบันการเงินและที่มิใช่สถาบันการเงิน
ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย และรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากผู้ประกอบธุรกิจสถาบันการเงินและที่มิใช่สถาบันการเงิน
3. บริษัท คอร์ทส์ เม็กก้าสโตร์ (ประเทศไทย) จำกัด
ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
สำหรับผลประกอบการของกลุ่มบริษัทเชฎฐ์
ปี 2562 มีรายได้ดอกเบี้ย, ค่าบริการและค่าวิชาชีพ 636 ล้านบาท
ปี 2563 มีรายได้ดอกเบี้ย, ค่าบริการและค่าวิชาชีพ 730 ล้านบาท
ปี 2564 มีรายได้ดอกเบี้ย, ค่าบริการและค่าวิชาชีพ 781 ล้านบาท
ปี 2562 มีรายได้ดอกเบี้ย, ค่าบริการและค่าวิชาชีพ 636 ล้านบาท
ปี 2563 มีรายได้ดอกเบี้ย, ค่าบริการและค่าวิชาชีพ 730 ล้านบาท
ปี 2564 มีรายได้ดอกเบี้ย, ค่าบริการและค่าวิชาชีพ 781 ล้านบาท
โดยปี 2564 มีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจ
-ให้บริการติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้ 35%
-บริหารจัดการสินทรัพย์จากการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ 48%
-ให้สินเชื่อ และอื่น ๆ 17%
-ให้บริการติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้ 35%
-บริหารจัดการสินทรัพย์จากการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ 48%
-ให้สินเชื่อ และอื่น ๆ 17%
ปี 2562 มีกำไร 162 ล้านบาท อัตรากำไร 25.5%
ปี 2563 มีกำไร 171 ล้านบาท อัตรากำไร 23.5%
ปี 2564 มีกำไร 271 ล้านบาท อัตรากำไร 34.7%
ปี 2563 มีกำไร 171 ล้านบาท อัตรากำไร 23.5%
ปี 2564 มีกำไร 271 ล้านบาท อัตรากำไร 34.7%