ในเมื่อคนชอบบ่นเรื่อง “สินค้ารีเซล” ทำไมแบรนด์ถึงไม่ผลิตสินค้า มาให้เพียงพอกับความต้องการ ?
8 ส.ค. 2022
“การรีเซล” หรือการนำสินค้าที่มีความต้องการในตลาดสูง มาเพิ่มราคาขายอีกทอดหนึ่ง แล้วขายให้กับคนที่อยากครอบครองและยอมจ่าย แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่าราคาป้าย
เป็นกลยุทธ์ที่นิยมมากในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะกับสินค้าจำพวกแฟชั่น อย่างรองเท้าสนีกเกอร์
เป็นกลยุทธ์ที่นิยมมากในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะกับสินค้าจำพวกแฟชั่น อย่างรองเท้าสนีกเกอร์
เพราะสินค้าประเภทนี้มีราคาขายไม่สูง แถมยังมีความต้องการของลูกค้ามารองรับ จนในบางครั้งร้านค้ารีเซลสามารถดันราคาสินค้าขึ้นไปได้หลายเท่า หรือหากเป็นรุ่นหายาก ก็อาจเกิน 10 เท่าตัวจากราคาป้ายเลยทีเดียว..
ยกตัวอย่างเช่น รองเท้า Nike Dunk Low สีขาว-ดำ ที่หลายคนเรียกติดปากกันว่า Panda
มีราคาป้ายจาก Nike อยู่ที่ 3,600 บาท แต่ราคารีเซลนั้น อยู่ที่ระหว่าง 7,000-8,000 บาท หรือมากกว่านั้น
เรียกได้ว่าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากราคาป้ายได้อย่างง่าย ๆ
มีราคาป้ายจาก Nike อยู่ที่ 3,600 บาท แต่ราคารีเซลนั้น อยู่ที่ระหว่าง 7,000-8,000 บาท หรือมากกว่านั้น
เรียกได้ว่าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากราคาป้ายได้อย่างง่าย ๆ
แถมราคารีเซลยังแทบจะไม่ลดลงเลย แม้ว่าทาง Nike จะประกาศรีสต็อกสินค้ารุ่นดังกล่าวหลายครั้งแล้วก็ตาม..
จึงทำให้ธุรกิจรีเซล ถือเป็นธุรกิจชนิดหนึ่งที่อาจจะไม่ถูกใจผู้บริโภคหลายคน เพราะต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าในราคาแพงโดยไม่จำเป็น จากการกักตุนสินค้ามาขายต่อของผู้ทำธุรกิจรีเซล
นำมาสู่คำถามในใจของผู้บริโภคหลายคนที่ว่า ในเมื่อสินค้ามีความต้องการมากขนาดนี้
ทำไมแบรนด์ถึงไม่ผลิตสินค้าให้เยอะ ๆ ไปเลย เพราะอย่างไรก็ขายได้ แถมยังเป็นการลดปัญหาการรีเซลได้แบบตรง ๆ
ทำไมแบรนด์ถึงไม่ผลิตสินค้าให้เยอะ ๆ ไปเลย เพราะอย่างไรก็ขายได้ แถมยังเป็นการลดปัญหาการรีเซลได้แบบตรง ๆ
เพราะมันสมเหตุสมผลที่ว่า เมื่อสินค้ามีมากพอต่อความต้องการ และทุกคนเข้าถึงได้
การกักตุนสินค้าเพื่อรีเซล ก็จะลดลงตามไปด้วย..
การกักตุนสินค้าเพื่อรีเซล ก็จะลดลงตามไปด้วย..
โดยคำตอบของเรื่องนี้ สามารถมองได้หลายมุมมาก ๆ
แต่ที่เราจะยกตัวอย่างขึ้นมานี้ จะเป็นมุมมองในด้านการตลาด และการบริหารต้นทุนของแบรนด์เท่านั้น
แต่ที่เราจะยกตัวอย่างขึ้นมานี้ จะเป็นมุมมองในด้านการตลาด และการบริหารต้นทุนของแบรนด์เท่านั้น
อย่างแรกคือ “เหตุผลด้านการตลาด”
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า เป็นเรื่องปกติที่แบรนด์จำเป็นต้องสร้างการรับรู้กับผู้บริโภคอยู่แล้ว
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า เป็นเรื่องปกติที่แบรนด์จำเป็นต้องสร้างการรับรู้กับผู้บริโภคอยู่แล้ว
และมันก็มีกลยุทธ์มากมายที่จะช่วยสร้าง Brand Awareness ให้กับผู้บริโภคได้ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์, การทำ Co-Branding และอีกมากมาย
แต่ในบางกรณีที่แบรนด์ไม่ยอมเพิ่มกำลังการผลิต ทั้งที่สินค้าของตัวเองนั้นมีความต้องการรองรับอยู่แล้ว
จริง ๆ แล้วมันก็คือการทำ “Limited Edition Marketing” ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การสร้าง Brand Awareness นั่นเอง
จริง ๆ แล้วมันก็คือการทำ “Limited Edition Marketing” ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การสร้าง Brand Awareness นั่นเอง
โดยหลักการของการทำ Limited Edition Marketing ก็คือ การเพิ่มความต้องการให้สินค้า ด้วยการทำให้มันมี “จำนวนจำกัด”
ซึ่งจะทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษเมื่อได้ครอบครองสินค้าชิ้นนั้น ๆ และโหยหาที่อยากจะได้มันมาครอบครองมากกว่าสินค้ารุ่นปกติ
ซึ่งจะทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษเมื่อได้ครอบครองสินค้าชิ้นนั้น ๆ และโหยหาที่อยากจะได้มันมาครอบครองมากกว่าสินค้ารุ่นปกติ
แม้ว่าการจะได้มา ต้องแลกมาด้วยความยากลำบากก็ตาม เช่น ต้องไปรอคิวซื้อสินค้าตั้งแต่เช้าตรู่ หรือจ่ายแพงขึ้น
ถ้านึกภาพไม่ออก ให้ลองนึกถึงร้านปิ้งย่างขวัญใจคนไทยอย่าง Bar B Q Plaza ที่มักจะจัดโปรโมชัน เปลี่ยนร้านตัวเองให้เป็นบุฟเฟต์ในเวลาที่จำกัด
และก็ได้ผลตอบรับดีแทบทุกครั้ง จนคนแน่นแทบจะทุกสาขาในช่วงเวลาดังกล่าว แม้ว่าจะมีผู้เล่นในตลาดบุฟเฟต์ปิ้งย่างอยู่เต็มไปหมดก็ตาม..
และก็ได้ผลตอบรับดีแทบทุกครั้ง จนคนแน่นแทบจะทุกสาขาในช่วงเวลาดังกล่าว แม้ว่าจะมีผู้เล่นในตลาดบุฟเฟต์ปิ้งย่างอยู่เต็มไปหมดก็ตาม..
นอกจากนี้ การทำ Limited Edition Marketing ยังกระตุ้นให้เกิดการแชร์หรือบอกต่อบนโลกออนไลน์ จากลูกค้าจริง ๆ ที่ไม่ได้ผ่านการโฆษณาอีกด้วย
สังเกตง่าย ๆ ในแต่ละครั้งที่ Nike จำหน่ายรองเท้ารุ่นที่มีความต้องการสูง
มักจะเกิดการแชร์ผ่านโซเชียลมีเดียกันมากมาย
มักจะเกิดการแชร์ผ่านโซเชียลมีเดียกันมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นจากฝั่งของผู้แสดงความดีใจ ที่สามารถซื้อรองเท้ารุ่นพิเศษได้ในราคาป้าย
หรือการแชร์จากฝั่งของผู้ที่ผิดหวังในการซื้อสินค้าดังกล่าว ที่มักแนบมาด้วยข้อความจาก Nike ที่ว่า “ครั้งนี้พลาดไปไม่เป็นไร”
หรือการแชร์จากฝั่งของผู้ที่ผิดหวังในการซื้อสินค้าดังกล่าว ที่มักแนบมาด้วยข้อความจาก Nike ที่ว่า “ครั้งนี้พลาดไปไม่เป็นไร”
ซึ่งก็สร้างสีสันให้กับแบรนด์ได้ไปอีกแบบ..
อย่างไรก็ตาม แม้การทำ Limited Edition Marketing จะดูเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์และสร้างการรับรู้ได้ดีในทางทฤษฎี เพราะแบรนด์ไม่ต้องทุ่มงบไปกับการโปรโมตสินค้าแบบโต้ง ๆ ผ่านสื่อต่าง ๆ ให้วุ่นวาย
เพียงแค่ทำสิ่งง่าย ๆ อย่างการ “ผลิตให้มันมีจำนวนจำกัด” แล้วให้ “ความต้องการ” มีมากกว่า “จำนวนสินค้า” ตามหลักของ “อุปสงค์-อุปทาน” ธรรมดา ๆ
เท่านี้ความต้องการที่มากกว่า ก็จะทำหน้าที่เพิ่มมูลค่าให้สินค้าและสร้างการรับรู้ให้แบรนด์แบบอัตโนมัติ
เท่านี้ความต้องการที่มากกว่า ก็จะทำหน้าที่เพิ่มมูลค่าให้สินค้าและสร้างการรับรู้ให้แบรนด์แบบอัตโนมัติ
แต่ในทางปฏิบัตินั้นกลับไม่ง่ายอย่างนั้น..
เพราะต้องไม่ลืมว่าแบรนด์ที่จะทำอย่างนี้ได้ ต้องเป็นแบรนด์และสินค้าที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในระดับหนึ่ง หรือเป็นแบรนด์ระดับ Global เท่านั้น
เพราะต้องไม่ลืมว่าแบรนด์ที่จะทำอย่างนี้ได้ ต้องเป็นแบรนด์และสินค้าที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในระดับหนึ่ง หรือเป็นแบรนด์ระดับ Global เท่านั้น
เพราะการจะทำให้สินค้าชิ้นหนึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมานั้น จำเป็นจะต้องได้รับการยอมรับจากจำนวนคนที่มากพอด้วย ถึงจะประสบความสำเร็จ
ดังนั้นถ้าหากจะสรุปว่า ที่แบรนด์ไม่ยอมผลิตสินค้าเยอะ ๆ ให้เพียงพอต่อความต้องการ ทั้งที่ตัวเองก็ทำได้
เป็นเพราะว่าสินค้า “Limited” ช่วยสร้าง “มูลค่าให้แบรนด์” ในมิติต่าง ๆ ได้มากกว่าตัว “กำไรจากยอดขาย” ก็คงไม่ผิดนัก..
เป็นเพราะว่าสินค้า “Limited” ช่วยสร้าง “มูลค่าให้แบรนด์” ในมิติต่าง ๆ ได้มากกว่าตัว “กำไรจากยอดขาย” ก็คงไม่ผิดนัก..
อย่างไรก็ตาม บางกรณีแบรนด์ไม่ได้ตั้งใจทำสินค้าให้มีจำนวนจำกัด แต่ดันมีความต้องการในสินค้าที่มากเกินคาด จนเกิดการกักตุนสินค้าไปรีเซลแบบไม่คาดคิด ก็มีให้เห็นเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น เครื่องเล่นเกม PlayStation 5 จาก Sony ที่แบรนด์น่าจะได้ประโยชน์มากกว่า ถ้าหากเครื่องเล่นเกมขายได้เยอะ ๆ เพราะจะได้มีโอกาสขายเกมได้มากขึ้นไปด้วย
จนทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมแบรนด์ถึงไม่ยอมเพิ่มกำลังการผลิต ทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่า ผลิตออกมาก็มีคนซื้อ ?
คำตอบของเรื่องนี้คงต้องมองไปถึงเรื่อง “จุดคุ้มทุน” (Break-Even Point) ของกิจการ
อธิบายง่าย ๆ ก็คือ จุดที่แบรนด์ต้องไปให้ถึง (เช่น ปริมาณยอดขาย) เพื่อที่ธุรกิจจะได้ไม่ขาดทุนนั่นเอง
โดยจุดคุ้มทุนสามารถคำนวณได้โดยการนำ
ต้นทุนคงที่ (ต้นทุนที่ไม่ว่าจะผลิตสินค้ากี่ชิ้นก็ยังอยู่เท่าเดิม เช่น ค่าเช่าเครื่องจักร-ที่ดิน)
มาหารกับ ผลต่างของราคาขาย กับต้นทุนผันแปร (ต้นทุนที่ผันแปรตามจำนวนหน่วยสินค้าที่ผลิตออกมา เช่น วัตถุดิบ, แพ็กเกจจิง)
มาหารกับ ผลต่างของราคาขาย กับต้นทุนผันแปร (ต้นทุนที่ผันแปรตามจำนวนหน่วยสินค้าที่ผลิตออกมา เช่น วัตถุดิบ, แพ็กเกจจิง)
ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือ จำนวนหน่วยของสินค้าที่แบรนด์ต้องขายสินค้าให้ได้ ถึงจะไม่ขาดทุนนั่นเอง..
ยกตัวอย่างเช่น Sony ลงทุนไปกับการเช่าเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต PS5 ไป 10,000 บาท (ต้นทุนคงที่)
แล้วมีต้นทุนค่าแพ็กเกจจิงและวัสดุในการผลิต อยู่ที่ 1,000 บาทต่อ PS5 1 เครื่อง (ต้นทุนผันแปร)
แล้ว Sony ตั้งราคาขาย PS5 ต่อเครื่องอยู่ที่ 1,500 บาท
แล้วมีต้นทุนค่าแพ็กเกจจิงและวัสดุในการผลิต อยู่ที่ 1,000 บาทต่อ PS5 1 เครื่อง (ต้นทุนผันแปร)
แล้ว Sony ตั้งราคาขาย PS5 ต่อเครื่องอยู่ที่ 1,500 บาท
จึงสรุปได้ว่า Sony มี
ต้นทุนคงที่ = 10,000 บาท
ต้นทุนผันแปร = 1,000 บาท
ราคาขาย = 1,500 บาท
ผลต่างของราคาขายกับต้นทุนผันแปร 1,500 - 1,000 = 500 บาท
ต้นทุนคงที่ = 10,000 บาท
ต้นทุนผันแปร = 1,000 บาท
ราคาขาย = 1,500 บาท
ผลต่างของราคาขายกับต้นทุนผันแปร 1,500 - 1,000 = 500 บาท
หากคำนวณตามการหาจุดคุ้มทุน จะได้ว่า 10,000 / 500 = 20
เท่ากับว่า Sony ต้องขาย PS5 ให้ได้จำนวน 20 เครื่อง ถึงจะคุ้มทุน
แล้วยอดขายตั้งแต่เครื่องที่ 21 เป็นต้นไป จะทำให้ธุรกิจเริ่มมีกำไร นั่นเอง..
เท่ากับว่า Sony ต้องขาย PS5 ให้ได้จำนวน 20 เครื่อง ถึงจะคุ้มทุน
แล้วยอดขายตั้งแต่เครื่องที่ 21 เป็นต้นไป จะทำให้ธุรกิจเริ่มมีกำไร นั่นเอง..
ซึ่งจุดคุ้มทุนนี้เอง ที่ทำให้หลายแบรนด์ลังเลที่จะเพิ่มกำลังการผลิต แม้ว่าสินค้าของตัวเองจะฮิตมากก็ตาม
เพราะในเมื่อสินค้าที่ตัวเองผลิตออกมามันเลยจุดคุ้มทุนจนกลายเป็นกำไรไปแล้ว ประกอบกับกำลังการผลิตของตัวเองก็มีอยู่อย่างจำกัด
เพราะในเมื่อสินค้าที่ตัวเองผลิตออกมามันเลยจุดคุ้มทุนจนกลายเป็นกำไรไปแล้ว ประกอบกับกำลังการผลิตของตัวเองก็มีอยู่อย่างจำกัด
ดังนั้น การเสี่ยงลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต เช่น สร้างโรงงานและซื้อเครื่องจักรใหม่ จึงเป็นเหมือนกับการเพิ่มต้นทุนคงที่ให้กับตัวเอง ทำให้แบรนด์ที่อุตส่าห์ไปถึงจุดคุ้มทุนแล้ว ต้องวกกลับมาในจุดเริ่มต้นอีกครั้ง
ขอยกตัวอย่างจากกรณีข้างต้น ก็คือสมมติว่า Sony ขาย PS5 ไปแล้ว 30 เครื่อง จากจุดคุ้มทุนที่ 20 เครื่อง
(พูดง่าย ๆ คือกำไรแล้ว) ซึ่งเต็มกำลังการผลิตแล้ว
แต่หลังจากที่ผลตอบรับดี Sony เลยเพิ่มกำลังการผลิต ด้วยการเช่าเครื่องจักรเข้ามาอีก 1 เครื่อง ในราคา 10,000 บาทเช่นเดิม
(พูดง่าย ๆ คือกำไรแล้ว) ซึ่งเต็มกำลังการผลิตแล้ว
แต่หลังจากที่ผลตอบรับดี Sony เลยเพิ่มกำลังการผลิต ด้วยการเช่าเครื่องจักรเข้ามาอีก 1 เครื่อง ในราคา 10,000 บาทเช่นเดิม
จึงเท่ากับว่า Sony มีต้นทุนคงที่เพิ่มขึ้นเป็น 20,000 บาทในทันที
และมีจุดคุ้มทุนกลายเป็น 40 เครื่อง
ซึ่งถ้าหาก Sony อยากมีกำไรอีกครั้ง ก็จะต้องขาย PS5 เพิ่มขึ้นอีกนั่นเอง..
และมีจุดคุ้มทุนกลายเป็น 40 เครื่อง
ซึ่งถ้าหาก Sony อยากมีกำไรอีกครั้ง ก็จะต้องขาย PS5 เพิ่มขึ้นอีกนั่นเอง..
และในโลกความเป็นจริง การเพิ่มกำลังการผลิตมักไม่ได้จบแค่เครื่องจักรอย่างแน่นอน
เพราะต้องมีทั้งการวางแผนหาพื้นที่สำหรับสร้างโรงงานใหม่, การก่อสร้าง-ออกแบบ, การดำเนินการทางกฎหมาย, การจ้างพนักงานเพิ่ม, การลงทุนระบบเทคโนโลยี หรือการต้องลงทุนซื้อวัตถุดิบจำนวนมาก เพื่อให้ได้ราคาที่ถูก
เพราะต้องมีทั้งการวางแผนหาพื้นที่สำหรับสร้างโรงงานใหม่, การก่อสร้าง-ออกแบบ, การดำเนินการทางกฎหมาย, การจ้างพนักงานเพิ่ม, การลงทุนระบบเทคโนโลยี หรือการต้องลงทุนซื้อวัตถุดิบจำนวนมาก เพื่อให้ได้ราคาที่ถูก
ซึ่งบางครั้งอาจใช้เวลานับ 10 ปีกว่าจะคืนทุน..
เห็นได้ว่า มันอาจจะ “ไม่คุ้มเสี่ยง” ในการลงทุนมหาศาล กับสินค้าที่แบรนด์ก็ตอบไม่ได้ว่า สินค้าจะลดความนิยมลงเมื่อไร หรือยั่งยืนแค่ไหน
อีกอย่างหากไม่เพิ่มกำลังการผลิต แบรนด์ก็ไม่ได้เสียหายอะไรอยู่แล้ว เพราะอย่างที่กล่าวไปในช่วงแรกว่า สินค้าที่เป็น “Limited” นั้น มันช่วยสร้างมูลค่าและการรับรู้ได้ดีมาก ซึ่งอาจจะมากกว่ากำไรจากยอดขายเสียอีก..
สุดท้ายนี้ ธุรกิจรีเซลที่เกิดขึ้นมามากมาย ก็เป็นดั่งการสะท้อนให้เห็นว่า
ปัจจุบันหลายแบรนด์เริ่มทำการตลาดแบบนี้กันมากขึ้น จนถึงขั้นที่มีคนกลุ่มหนึ่งจับมันมาเป็นอาชีพได้
ปัจจุบันหลายแบรนด์เริ่มทำการตลาดแบบนี้กันมากขึ้น จนถึงขั้นที่มีคนกลุ่มหนึ่งจับมันมาเป็นอาชีพได้
ถึงแม้ผู้บริโภคหลายคน อาจจะไม่ชอบการซื้อสินค้าในราคาแพงกว่าป้าย
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าสินค้าที่มันมี “จำนวนจำกัด” นั้น มีมูลค่าทางใจมากกว่าสินค้าทั่วไปในตลาดจริง ๆ..
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าสินค้าที่มันมี “จำนวนจำกัด” นั้น มีมูลค่าทางใจมากกว่าสินค้าทั่วไปในตลาดจริง ๆ..
อ้างอิง:
-https://www.krungsri.com/th/krungsri-the-coach/life/good-life/how-to-calculate-breakeven-point
-https://www.krungsri.com/th/krungsri-the-coach/life/good-life/how-to-calculate-breakeven-point