Birkenstock แบรนด์รองเท้าแตะอายุ 248 ปี แต่ยังครองใจวัยรุ่น

Birkenstock แบรนด์รองเท้าแตะอายุ 248 ปี แต่ยังครองใจวัยรุ่น

12 มี.ค. 2022
รองเท้าแตะแบบหนัง พื้นรองเท้าหนา ๆ และมีสายคาดอันโดดเด่น อันเป็นเอกลักษณ์ของ Birkenstock
ที่ใคร ๆ เห็นแล้วก็ต้องคุ้นหน้าคุ้นตา
แม้ว่าเราจะไม่มีครอบครองเอง ก็ต้องเคยเห็นจากเพื่อน ๆ หรือคนที่เดินผ่านไปมา สวมใส่กันมาแล้วบ้าง
ที่น่าสนใจคือ Birkenstock ต่างได้รับความนิยมในทุกรุ่นทุกวัย ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น แม้จะเป็นแบรนด์เก่าแก่ ที่มีประวัติความเป็นมา กว่า 248 ปีแล้วก็ตาม
แต่ Birkenstock ก็ยัง “ครองใจ” และดู “คูล” ในสายตาคนรุ่นใหม่อยู่เสมอ
ด้วยดีไซน์ที่สวยงาม คลาสสิก แต่แฝงไปด้วยความทันสมัย
ทำให้รองเท้าแตะ Birkenstock สามารถแมตช์ได้กับการแต่งตัวทุกสไตล์ ทุกลุก
ตั้งแต่สไตล์ฮิปปี ไปจนถึงสไตล์มินิมัล
กางเกงขาสั้น ไปจนถึงกางเกงยีนส์ และกางเกงสแล็กส์
แม้แต่คนดังหรือดาราฮอลลีวูดบางคน ก็สวมใส่ Birkenstock เดินกันเป็นเรื่องปกติ..
และนอกจากเรื่องดีไซน์แล้ว เรื่องความทนทาน รองเท้าแตะ Birkenstock ก็ไม่เป็นรองใคร
เพราะด้วยวัสดุคุณภาพดี และงานประกอบที่ใส่ใจในรายละเอียด
ทำให้รองเท้ามีความแข็งแรงและทนทานสูง แต่ก็ยังสวมใส่สบาย
ซึ่งบางคนมี Birkenstock คู่เดียว ใส่อย่างน้อย 3-4 ปี ก็ยังใช้งานได้ดีอยู่
หลายคนอาจจะอยากรู้แล้วว่า ตำนานของ Birkenstock มีจุดเริ่มต้นอย่างไร
และแบรนด์มีรายได้มากแค่ไหน ?
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1774 ที่ประเทศเยอรมนี
เรื่องราวของ Birkenstock ถือกำเนิดขึ้นจากช่างปะรองเท้า นามว่า Johann Adam Birkenstock
ซึ่งนอกจากชื่อสกุลแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เขาได้ถ่ายทอดให้กับลูกหลานสืบต่อไป
ก็คือ วิชาความรู้และความหลงใหลในรองเท้า
ต่อมาถึงยุคของ Konrad Birkenstock ที่เป็นหลานชาย
ก็ได้เปิดร้านขายรองเท้า 2 แห่งขึ้นที่แฟรงก์เฟิร์ต ในปี 1896
พร้อมกับพัฒนาสินค้าที่สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลอย่าง “แผ่นรองรองเท้า (Insole)” แบบตามสั่ง (Customized)
เพื่อผลิตและจำหน่ายให้กับช่างทำรองเท้า รวมถึงบริษัทรองเท้าต่าง ๆ
ด้วยจุดเด่นที่ Customized ได้ตามใจ ทำให้บริษัทรองเท้าต่าง ๆ สามารถสร้างรองเท้าที่รองรับและปรับรูปเท้าได้ตามที่ต้องการ ต่างจากแผ่นรองรองเท้าทั่วไปในตลาด ที่มีข้อจำกัดมากกว่า
และเมื่อแผ่นรองรองเท้าของ Konrad Birkenstock ถูกอกถูกใจบรรดาลูกค้า
จึงทำให้ธุรกิจของเขา มีออร์เดอร์เข้ามาเป็นจำนวนมาก และเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
จนกระทั่งในปี 1925 เขาก็ได้ขยายธุรกิจ ด้วยการเข้าซื้อโรงงานขนาดใหญ่ ในเมืองฟรีดเบิร์ก เพื่อขยายกำลังการผลิตให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้า
รวมถึงได้ส่งออกสินค้าไปขายทั่วยุโรป ไม่ว่าจะเป็นออสเตรีย, ฝรั่งเศส, เดนมาร์ก, อิตาลี, ลักเซมเบิร์ก, เบลเยียม, นอร์เวย์, เนเธอร์แลนด์, สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์
ถึงธุรกิจจะประสบความสำเร็จ แต่เส้นทางธุรกิจของตระกูล Birkenstock ยังไปไม่ถึงถนนสายหลัก
เพราะต้องพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้งในปี 1964
ทายาทธุรกิจที่ชื่อว่า Karl Birkenstock ได้พัฒนาและเปิดตัวรองเท้าแตะ “Madrid” ภายใต้แบรนด์ Birkenstock คู่แรก แก่สายตาชาวโลก
ซึ่งรองเท้าแตะ Madrid ได้กลายเป็นรุ่นคลาสสิกตลอดกาลของแบรนด์ และเป็นต้นแบบของรองเท้าแตะ Birkenstock ในรุ่นต่อ ๆ มา
จนปัจจุบันมีรองเท้าหลากหลายรุ่นและดีไซน์ ให้เลือกกัน ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน
เช่น Birkenstock Arizona
Birkenstock Atacama
Birkenstock Mayari
Birkenstock Madrid
Birkenstock Gizeh
Birkenstock Sydney
และถึงกระแสแฟชั่นจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน
Birkenstock ก็ยังคงดีไซน์ความเป็นเอกลักษณ์ ตามแบบฉบับของตัวเอง
โดยไม่มีการปรับดีไซน์ไปตามซีซัน เพียงแต่ปรับเปลี่ยนสีของสายหนังเท่านั้น
ซึ่งจุดเด่นของรองเท้าแตะ Birkenstock ที่ทำให้แบรนด์ได้รับความนิยมตลอดมา นอกจากดีไซน์และความทนทานแล้ว
อีกจุดขายที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ นวัตกรรมพื้นรองเท้าที่ทำมาจาก “ไม้คอร์ก” นั่นเอง
โดยพื้นรองเท้าชนิดนี้ เมื่อสวมใส่ไปสักระยะ รองเท้าจะสามารถปรับสภาพให้เข้ากับรูปเท้าของผู้สวมใส่ได้เอง ทำให้รู้สึกนุ่มขึ้นและใส่สบาย น้ำหนักกำลังดี
อีกทั้งบริเวณส่วนรองรับเท้า จะมีความลึกกว่าปกติ ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อ กระดูกสันหลัง จัดเรียงในลักษณะที่ถูกต้องเวลายืนหรือเดิน
Birkenstock จึงถูกมองว่าเป็นมากกว่ารองเท้าแฟชั่น แต่ยังเป็นรองเท้าเพื่อสุขภาพอีกด้วย
นอกจากนี้ รองเท้าแตะ Birkenstock ยังทำมาจากวัสดุที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ
ทั้งหนังสัตว์ ไม้คอร์ก และเส้นใยปอ ซึ่งไม่ใช่วัสดุสังเคราะห์
ส่วนในเรื่องของการตลาด
Birkenstock ไม่มีการทำแคมเปญการตลาดที่หวือหวา หรือเล่นใหญ่เหมือนกับแบรนด์อื่น ๆ
รวมถึงไม่เคยจ้างคนที่มีชื่อเสียง มาโปรโมตสินค้าให้กับแบรนด์เลย
แต่อาศัยการที่มีลูกค้าซื้อไปสวมใส่เอง พอเห็นว่าใส่ดี ก็เลยบอกต่อ หรือแชร์รูปถ่ายผ่านโซเชียลมีเดีย
รวมถึงเมื่อมีลูกค้าสวมใส่ในชีวิตประจำวัน
คนอื่น ๆ เช่น เพื่อน คนรู้จัก หรือคนที่เดินผ่านไปมา ก็จะเห็นเจ้ารองเท้าแตะ Birkenstock ผ่านตา
จนเกิดความรู้สึกอยากลองสวมใส่ หรือมีกับเขาบ้างสักคู่..
โดยเฉพาะคนดังหรือดาราที่สวมใส่ Birkenstock ออกสื่อหรืออัปลงโซเชียลมีเดียให้แบบฟรี ๆ
ก็ยิ่งกระตุ้นให้ Birkenstock เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกมากยิ่งขึ้น และแฟนคลับอยากใส่ตาม ๆ กัน นั่นเอง
ทีนี้ลองมาดูรายได้ของ Birkenstock ว่ามากขนาดไหน ?
ในปี 2019 มีรายได้ประมาณ 25,902 ล้านบาท
มีกำไร 4,677 ล้านบาท
และมีรายงานจาก Lyst แพลตฟอร์มสังคมแฟชั่นของประเทศอังกฤษ เผยว่า
ในปี 2020 ชื่อแบรนด์รองเท้า ที่มีคนค้นหาข้อมูล รวมถึงสั่งซื้อมากสุด ก็คือ Birkenstock
เนื่องจากผู้คนต้องกักตัวอยู่บ้าน และไม่สามารถเดินทางออกไปไหนไกล ๆ ได้ จากสถานการณ์โรคระบาด
ทำให้พวกเขามองหารองเท้าที่สวมใส่สบายสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันแทน อย่างเช่น รองเท้าแตะ
ซึ่ง Birkenstock ก็ขึ้นชื่อในเรื่องนี้ และได้รับอานิสงส์ไปด้วย
จึงมีแนวโน้มว่า ยอดขายของ Birkenstock อาจเติบโตขึ้น นั่นเอง..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้ไหมว่า แม้แบรนด์ Birkenstock จะเป็นกิจการของครอบครัวมาหลายชั่วอายุคน
แต่ปัจจุบันไม่ใช่ของตระกูล Birkenstock แล้ว
โดยในเดือนพฤษภาคม ปี 2021 ที่ผ่านมา
Birkenstock ถูกขายกิจการให้กับบริษัทด้านการลงทุน L Catterton ด้วยมูลค่าประมาณ 143,800 ล้านบาท
ซึ่ง L Catterton เป็นบริษัทร่วมทุนของ LVMH อาณาจักรเจ้าของแบรนด์หรูชื่อดังมากมาย เช่น Louis Vuitton, Christian Dior, Celine, Fendi, Bulgari, Tiffany & Co. นั่นเอง
อ้างอิง :
-https://www.central.co.th/e-shopping/brikenstock-shoes-benefits
-https://birkenstocksandals.org/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Birkenstock
-http://birken.tw/?node=ENGHISTORY
-https://www.birkenstock/-group.com/de/en/company/history/
-https://www.completebirkenstock.com/pages/why-birkenstock
-https://ww.fashionnetwork.com/news/Birkenstock-announces-plans-to-invest-100-million-euros,1327540.html
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.