ไขข้อสงสัย! เพราะอะไร Aventador จึงเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่น่าจับตามาตลอด 10 ปี
25 ต.ค. 2021
อะไรคือความลับที่ส่งให้ซูเปอร์สปอร์ตคาร์อย่าง Aventador (อะเวนทาดอร์) กลายเป็นไอคอนนิคความแรงที่เป็นกระแสชั่วพริบตา ทั้งยังสร้างปรากฏการณ์น่าจดจำให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา วันนี้ลัมโบร์กินีพามาย้อนดูหน้าประวัติศาสตร์ของ Aventador กับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์ V12 รุ่นนี้
1. อะเวนทาดอร์เปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 ได้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ให้กับแบรนด์ลัมโบร์กินีได้อย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยยอดขายกว่า 10,000 คัน ในเวลาเพียง 9 ปี โดยอะเวนทาดอร์ใช้เวลาเพียง 5 ปี ก็มียอดจองมากกว่าจำนวนรถยนต์ V12 ที่ลัมโบร์กินีเคยผลิตรวมกันทั้งหมดเสียอีก และนี่คือ Aventador คันไฮไลต์ในรอบทศวรรษที่คุณไม่ควรพลาด
ปี 2011 Aventador LP 700-4 ถือกำเนิดขึ้น ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างโครงสร้างตัวถังแบบโมโนค๊อกที่ผลิตขึ้นจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด เครื่องยนต์ V12 เจเนเรชั่นใหม่ถูกพัฒนาขึ้นมาสำหรับอะเวนทาดอร์โดยเฉพาะด้วยกำลัง 700 แรงม้า และคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์สำคัญอย่างประตูแบบเปิดปีกนก
ปี 2012 ลัมโบร์กินีได้เปิดตัว Aventador Roadster ซึ่งเป็นอะเวนทาดอร์เปิดประทุนรุ่นแรก โดยที่หลังคารถแต่ละฝั่งถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักเบาน้อยกว่า 6 กก. ด้วยการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อการถอดเข้าออกที่สะดวก และในปีเดียวกันนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำความโดดเด่นของอะเวนทาดอร์ ลัมโบร์กินีได้รังสรรค์อะเวนทาดอร์รุ่นพิเศษอย่าง Aventador J อะเวนทาดอร์ที่ถูกผลิตมาคันเดียวในโลก ถูกออกแบบตกแต่งภายนอกและภายในให้เข้ากัน โดยเน้นให้เห็นถึงเทคโนโลยีคาร์บอนไฟเบอร์ที่ลัมโบร์กินีเชี่ยวชาญ และสามารถทำความเร็วได้มากกว่า 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เรียกได้ว่ารวมความเป็นที่สุดแห่งประสบการณ์ไว้ในรถคันนี้
ปี 2016 Aventador Miura Homage ซีรีส์พิเศษที่ผลิตเพื่อเป็นเกียรติให้กับซูเปอร์สปอร์ตคาร์ในตำนานอย่าง Miura ในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปี โดยสะท้อนจิตวิญญาณของ Miura ต้นแบบ ทั้งในแง่สีสันและฟีเจอร์ไว้อย่างครบครัน ผลิตจำกัดเพียง 50 คันเท่านั้น ในปีเดียวกันนี้ ลัมโบร์กินีได้ทำการปรับโฉมให้กับอะเวนทาดอร์ โดยใช้ชื่อ Aventador S ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ สมรรถนะการขับขี่ และความสะดวกสบายในการใช้งานทุกวัน
ปี 2018 Aventador SVJ กับตำแหน่งราชันแห่ง Nürburgring - ถือเป็นสถิติใหม่ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ SVJ ในฐานะรถยนต์แบบโปรดักชั่นที่ทำเวลาได้เร็วที่สุดในสนามแข่งระดับโลกด้วยเวลาเพียง 6:44.97 นาที โดยผลิตออกมาเพียง 900 คัน ขณะที่สเปเชี่ยล อิดิชั่น อย่าง SVJ 63 ผลิตจำกัดเพียง 63 คันเท่านั้น เพื่อระลึกถึงการก่อตั้ง Lamborghini ในปี 1963 นั่นเอง โดยทั้ง 2 รุ่น ถูกออกแบบให้ใช้หลักอากาศพลศาสตร์ขั้นสูงอย่าง ระบบ ALA ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรโดย Lamborghini อีกด้วย
ปี 2019 Aventador S by Skyler Grey ถือเป็น one-off ที่สร้างสีสันให้กับงาน Monterey Car Week เลยก็ว่าได้ ผลงานคอลลาบอเรชั่นกับศิลปินดาวรุ่ง Skyler Grey ที่หลอมรวมศิลปะแห่งโลกยนตรกรรมและศิลปะแนวสตรีทอาร์ต ภายใต้คอนเซปต์ "splash-effect" ไว้ได้อย่างมีสไตล์ ที่สำคัญยังเป็น Lamborghini คันแรกที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการรับรองและปกป้องในฐานะงานศิลปะอีกด้วย
2. Lamborghini Aventador กลายเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์อันยอดเยี่ยมในโลกแห่งจินตนาการ จะเห็นได้ว่าเป็นรถที่มาพร้อมกับฮีโร่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในภาพยนตร์ฮอลลีวูด รถเครื่องยนต์ V12 นี้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่สร้างประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ระดับโลกหลากหลายเรื่องด้วยกัน ซึ่งคู่หูของอัศวินรัตติกาล อย่าง Aventador ที่เป็น BatMobile ให้กับ Bruce Wayne ในภาพยนตร์ "The Dark Knight Rises" (2012) โดยรถที่นำมาเข้าฉากคือ Aventador LP 700-4 ที่มาพร้อมป้ายทะเบียนเมืองสุดเท่ห์อย่าง “Gotham - 649 8227" อีกด้วย
3. Aventador ถือเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์คันแรกของ Lamborghini ที่ส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกเร้าใจด้วยโหมดการขับขี่ที่สามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ มีให้เลือกถึง 4 แบบ - STRADA, SPORT, CORSA และ EGO ซึ่งในโหมด EGO นี้เองที่ผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าโปรไฟล์ต่าง ๆ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การขับขี่ ณ ขณะนั้นมากที่สุด อาทิ ระบบส่งกำลัง (เครื่องยนต์, 4WD), การบังคับเลี้ยว และชุดควบคุมระบบช่วงล่าง Magneride adaptive ที่สามารถปรับระดับตามโหมดการขับขี่ในทุกสถานการณ์
4. แม้จะเดินทางมาถึงรหัสสุดท้ายของ Aventador แต่เชื่อเถอะว่า LP 780-4 Ultimae (แอลพี 780-4 อูลติเม) คือ Aventador ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์การผลิตรถของ Lamborghini โดยคอนเซปต์หลักของรุ่นนี้คือการหลอมรวมสุดยอดสมรรถนะของ Aventador SVJ กับสไตล์ที่สง่างามเหนือกาลเวลาของ Aventador S ไว้ในหนึ่งเดียว
ซึ่งแต่ละชิ้นส่วนที่ประกอบขึ้นล้วนมีเรื่องราวที่น่าสนใจทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น
ดีไซน์ภายนอก - ช่างฝีมือของ Lamborghini อุทิศเวลามากกว่า 40 ชั่วโมง ในการตกแต่งภายนอก เพื่อให้ได้ Ultimae ลิมิเต็ดอิดิชั่น ที่พิเศษราวกับเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก
ดีไซน์ภายใน - สะท้อนความพิเศษเฉพาะตัวอย่างมีสไตล์ด้วยการนำอักษรตัว ‘Y’ ทำการเลเซอร์คัตลงไปบริเวณตัวเบาะและแผงแดชบอร์ด ช่วยเพิ่มมิติภายในรถให้ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น พร้อมตกแต่งด้วยวัสดุน้ำหนักเบาซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตซูเปอร์สปอร์ตคาร์ Lamborghini อาทิ คาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งพบได้ทั้งในห้องโดยสารและโครงสร้างภายนอก, Alcantara งานคัตติ้งสุดเนี้ยบของเหล่าช่างฝีมือจากแผนกเครื่องหนัง
ด้านการตกแต่งตัวรถนั้นได้มีการเพิ่มสีภายนอกและภายในให้สำหรับเจ้าของรถ Ultimae โดยเฉพาะ คอลเลคชั่นสีใหม่นั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องบินที่มีสีมาตรฐานมากถึง 18 สีและสามารถเลือกได้สูงสุดถึง 300 กว่าสีสำหรับคอลเลคชั่นของ Ad Personam จึงทำให้เจ้าของรถ Ultimae ทุกคนสามารถสร้างรถในแบบของตัวเองได้ในทุกสไตล์
ปิดท้ายความลิมิเต็ดด้วยแผ่นคาร์บอนไฟเบอร์ที่ระบุจำนวนหน่วยที่ผลิตของซีรีส์นี้ อาทิ 001 of 350 สำหรับรุ่น coupés และ 001 of 250 สำหรับรุ่น roadster ตัวเลขที่สะท้อนถึงคุณค่าและความหายากของรหัสสุดท้ายอย่าง LP 780-4 Ultimae ที่แท้จริง
ซึ่งทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศ สร้างกำลังสูงสุด 780 แรงม้า ส่งกำลังไปที่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำความเร็วสูงสุดที่ 355 กม./ชม.
Aventador LP 780-4 Ultimae coupé ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. และ อัตราเร่งจาก 0-200 กม./ชม. ด้วยเวลาเพียง 2.8 วินาที และ 8.7 วินาที ตามลำดับ ผลิตจำกัดเพียง 350 คัน
Aventador LP 780-4 Ultimae Roadster ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. และ อัตราเร่งจาก 0-200 กม./ชม. ด้วยเวลาเพียง 2.9 วินาที, 8.9 วินาที ตามลำดับ ผลิตจำกัดเพียง 250 คัน
ร่วมสัมผัสความหรูหราโฉบเฉี่ยวของซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นใหม่ได้ที่ “ลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ” โชว์รูมและศูนย์บริการครบวงจรขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ถนนวิภาวดีรังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-512-5111
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ ได้ที่:
Lamborghini’s Official Website: https://www.lamborghini.com/
Lamborghini Bangkok’s instagram : www.instagram.com/lamborghinirenazzomotor/