
ยอดขายรถมอเตอร์ไซค์ 7 เดือนแรก โตแรง 13.7% แต่อานิสงส์หลัก ไม่ได้มาจากบริการดิลิเวอรี - Krungthai COMPASS
23 ก.ย. 2021
-ระยะหลังตลาดมอเตอร์ไซค์เริ่มอิ่มตัว
ย้อนกลับไปในช่วง 5 ปีก่อนเกิดโควิด ตลาดมอเตอร์ไซค์มียอดขายสูงสุด 1.8 ล้านคันในปี 2560 ก่อนจะชะลอต่อเนื่องจนถึงปี 2563 เป็น 1.5 ล้านคัน
ผู้ประกอบการหลายราย ยอมรับว่าตลาดเริ่มอิ่มตัวจากยอดจดทะเบียนสะสมที่อยู่สูงราว 21 ล้านคัน ส่งผลให้สัดส่วนการครอบครองมอเตอร์ไซค์ต่อประชากรอยู่ระดับสูง
ย้อนกลับไปในช่วง 5 ปีก่อนเกิดโควิด ตลาดมอเตอร์ไซค์มียอดขายสูงสุด 1.8 ล้านคันในปี 2560 ก่อนจะชะลอต่อเนื่องจนถึงปี 2563 เป็น 1.5 ล้านคัน
ผู้ประกอบการหลายราย ยอมรับว่าตลาดเริ่มอิ่มตัวจากยอดจดทะเบียนสะสมที่อยู่สูงราว 21 ล้านคัน ส่งผลให้สัดส่วนการครอบครองมอเตอร์ไซค์ต่อประชากรอยู่ระดับสูง
การที่ตลาดเริ่มอิ่มตัว ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายปรับทิศทางการตลาดโดยให้น้ำหนักกับตลาดมอเตอร์ไซค์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงกว่า อย่างมอเตอร์ไซค์ที่มีขนาด 250 ซีซีขึ้นไป
ทำให้ตลาดมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ของไทยเติบโตขึ้นสวนทางกับตลาดมอเตอร์ไซค์หลัก ที่เริ่มชะลอลง
ทำให้ตลาดมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ของไทยเติบโตขึ้นสวนทางกับตลาดมอเตอร์ไซค์หลัก ที่เริ่มชะลอลง
ยอดขายมอเตอร์ไซค์ที่มีขนาด 250 ซีซีขึ้นไป
ปี 2560 ขายได้ 21,941 คัน
ปี 2561 ขายได้ 63,086 คัน
ปี 2562 ขายได้ 69,692 คัน
ปี 2563 ขายได้ 70,469 คัน
ปี 2560 ขายได้ 21,941 คัน
ปี 2561 ขายได้ 63,086 คัน
ปี 2562 ขายได้ 69,692 คัน
ปี 2563 ขายได้ 70,469 คัน
-ตลาดมอเตอร์ไซค์ 7 เดือนแรกปีนี้ กลับมาโตได้ดีในอัตราที่สูงกว่าที่หดตัวในปีก่อน
ยอดขายรถมอเตอร์ไซค์ในประเทศ 7 เดือนแรก ขยายตัว 13.7% หลังจากหดตัว 11.8% ในปีก่อน
ยอดขายรถมอเตอร์ไซค์ในประเทศ 7 เดือนแรก ขยายตัว 13.7% หลังจากหดตัว 11.8% ในปีก่อน
ขณะที่ยอดขายรถยนต์ทั้งประเทศ 7 เดือนแรก ขยายตัวเพียง 9.7% หลังจากหดตัว 21.4% ในปีก่อน
การขยายตัวของยอดขายมอเตอร์ไซค์ จึงไม่ได้มีสาเหตุจากปัจจัยจากฐานต่ำในปีก่อนเพียงอย่างเดียว แต่สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตลาดมอเตอร์ไซค์ เมื่อเทียบกับตลาดรถยนต์
-การเติบโตของตลาดมอเตอร์ไซค์ในปีนี้ มาจากภูมิภาคเป็นส่วนใหญ่
โดยการวิเคราะห์รายภาคและรายจังหวัด ดูจากยอดจดทะเบียนรถใหม่ป้ายแดง ในช่วง 7 เดือนแรกของปี
ยอดจดทะเบียนมอเตอร์ไซค์ใหม่ในส่วนภูมิภาคเติบโตถึง 16.9% ในขณะที่เป็นการเติบโตในเขตกรุงเทพและปริมณฑลเพียงแค่ 5.8%
โดยการวิเคราะห์รายภาคและรายจังหวัด ดูจากยอดจดทะเบียนรถใหม่ป้ายแดง ในช่วง 7 เดือนแรกของปี
ยอดจดทะเบียนมอเตอร์ไซค์ใหม่ในส่วนภูมิภาคเติบโตถึง 16.9% ในขณะที่เป็นการเติบโตในเขตกรุงเทพและปริมณฑลเพียงแค่ 5.8%
การเติบโตของยอดจดทะเบียนมอเตอร์ไซค์เขตกรุงเทพและปริมณฑลที่ต่ำกว่าในภูมิภาค ทำให้สัดส่วนยอดจดทะเบียนในกรุงเทพและปริมณฑลเมื่อเทียบกับทั้งประเทศ ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน
(จาก 28.3% ในปี 2563 เป็น 27.1% ในเดือน ก.ค. ปี 2564)
(จาก 28.3% ในปี 2563 เป็น 27.1% ในเดือน ก.ค. ปี 2564)
-ภาคอีสานเป็นภาคเดียวที่ยอดจดทะเบียนมอเตอร์ไซค์กลับมาเท่ากับระดับก่อนเกิดโควิด
แม้ตลาดมอเตอร์ไซค์ในปีนี้จะโตดี แต่ภาคอีสานเป็นเพียงภาคเดียวที่ฟื้นตัวกลับมาเทียบเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด
แม้ตลาดมอเตอร์ไซค์ในปีนี้จะโตดี แต่ภาคอีสานเป็นเพียงภาคเดียวที่ฟื้นตัวกลับมาเทียบเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด
การวิเคราะห์ว่า ตลาดมอเตอร์ไซค์ในแต่ละภาคกลับมาในระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิดแล้วหรือไม่ คำนวณจากสัดส่วนของยอดจดทะเบียนเฉลี่ยรายเดือนในปี 2564 กับยอดจดทะเบียนเฉลี่ยรายเดือน 5 ปีก่อนเกิดโควิด (ปี 2558 - 2562) ซึ่งจากวิเคราะห์ข้อมูลรายภาค พบว่า มีเพียงภาคอีสานเท่านั้นที่ยอดจดทะเบียนมอเตอร์ไซค์เฉลี่ยรายเดือนกลับมาเท่ากับระดับช่วงก่อนเกิดโควิด
ด้านภาคเหนือก็มีระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด ที่ประมาณ 97%
ขณะที่ภาคอื่น ๆ ยังมียอดจดทะเบียนในระดับที่ต่ำกว่าพอสมควร โดยเฉพาะกรุงเทพและปริมณฑล ที่คาดกันว่าจะได้รับผลบวกจากการบริการขนส่งสินค้าในยุค New Normal แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
ขณะที่ภาคอื่น ๆ ยังมียอดจดทะเบียนในระดับที่ต่ำกว่าพอสมควร โดยเฉพาะกรุงเทพและปริมณฑล ที่คาดกันว่าจะได้รับผลบวกจากการบริการขนส่งสินค้าในยุค New Normal แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
-แล้วเพราะอะไร ที่ทำให้ยอดจดทะเบียนมอเตอร์ไซค์ในภาคอีสานเพิ่มสูงขึ้นมาได้จนเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด
: รายได้เกษตรกรในภาพรวมที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก มีผลต่อตลาดมอเตอร์ไซค์ในปีนี้ ตลาดมอเตอร์ไซค์พึ่งพาตลาดต่างจังหวัดมากกว่า 70% ทำให้ตลาดขึ้นอยู่กับรายได้เกษตรกรค่อนข้างมาก และด้วยรายได้เกษตรกรที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปีก่อน ก็มีผลทำให้ตลาดมอเตอร์ไซค์ขยายตัวไปด้วย
รายได้เกษตรกรคำนวณจากดัชนีราคาสินค้าเกษตรกร และดัชนีผลผลิตเกษตรในแต่ละช่วงเวลา
ในปี 2564 ราคาสินค้าเกษตรหลักอย่างข้าวหดตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ราคาอ้อย ยางพารา และมันสำปะหลัง ปรับตัวสูงขึ้นมาก
ในปี 2564 ราคาสินค้าเกษตรหลักอย่างข้าวหดตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ราคาอ้อย ยางพารา และมันสำปะหลัง ปรับตัวสูงขึ้นมาก
อย่างไรก็ตาม ในด้านผลผลิต พบว่า ยางพาราและมันสำปะหลังมีผลผลิตที่ขยายตัวดีขึ้น แต่อ้อยกลับมีปริมาณผลผลิตที่ลดลง ทำให้เกษตรกรที่เพาะปลูกอ้อยเป็นหลักอาจไม่ได้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นมากนัก
: จังหวัดที่มีพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังและยางพาราเป็นจำนวนมาก กระจุกตัวในภาคอีสานมากที่สุด
เมื่อวิเคราะห์ภาพรายจังหวัด พบว่า หลายจังหวัดที่มียอดจดทะเบียนเฉลี่ยรายเดือนในปีนี้ สูงกว่ายอดจดทะเบียนเฉลี่ยรายเดือนในช่วง 5 ปีก่อนโควิด และอีกหลายจังหวัดที่เกือบจะเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด เป็นจังหวัดที่มีการปลูกพืชอย่างมันสำปะหลัง ยางพารา เป็นจำนวนมาก
เมื่อวิเคราะห์ภาพรายจังหวัด พบว่า หลายจังหวัดที่มียอดจดทะเบียนเฉลี่ยรายเดือนในปีนี้ สูงกว่ายอดจดทะเบียนเฉลี่ยรายเดือนในช่วง 5 ปีก่อนโควิด และอีกหลายจังหวัดที่เกือบจะเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด เป็นจังหวัดที่มีการปลูกพืชอย่างมันสำปะหลัง ยางพารา เป็นจำนวนมาก
ซึ่งในปีนี้มีราคาและผลผลิตที่ขยายตัวสูง สอดคล้องกับดัชนีรายได้เกษตรกรในปีนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นจากมันสำปะหลังและยางพาราเป็นหลัก โดยจังหวัดเหล่านี้กระจุกตัวอยู่ในภาคอีสานมากที่สุด และเป็นสาเหตุให้ยอดจดทะเบียนมอเตอร์ไซค์ในภาคอีสานเพิ่มสูงขึ้นมาได้จนเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด
: การเติบโตของตลาดมอเตอร์ไซค์ในปีนี้ ยังมาจากรายได้เกษตรกรเป็นหลัก และไม่ได้รับอานิสงส์จากกิจกรรม On Demand Delivery มากนัก
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ยกเว้นนครปฐม) รวมทั้งจังหวัดที่เป็นหัวเมืองใหญ่ในแต่ละภาคที่คาดว่ากิจกรรม On Demand Delivery มากกว่าจังหวัดอื่นในภาค กลับไม่ได้มียอดจดทะเบียนฟื้นตัวกลับมาเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด
ซึ่งก็อาจมองได้ว่า การเติบโตของตลาดมอเตอร์ไซค์ในปีนี้ เป็นผลมาจากรายได้เกษตรกรที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ยกเว้นนครปฐม) รวมทั้งจังหวัดที่เป็นหัวเมืองใหญ่ในแต่ละภาคที่คาดว่ากิจกรรม On Demand Delivery มากกว่าจังหวัดอื่นในภาค กลับไม่ได้มียอดจดทะเบียนฟื้นตัวกลับมาเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด
ซึ่งก็อาจมองได้ว่า การเติบโตของตลาดมอเตอร์ไซค์ในปีนี้ เป็นผลมาจากรายได้เกษตรกรที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก
-แล้วในอนาคต On Demand Delivery จะช่วยขับเคลื่อนตลาดมอเตอร์ไซค์ได้หรือไม่ ?
ด้วยวิถี New Normal ตลาด On Demand Delivery ยังมีแนวโน้มโตต่อเนื่อง Euro Monitor คาดการณ์ว่า ตลาด Food Delivery ที่มีสัดส่วนสูงในตลาด On Demand Delivery ในไทยจะเติบโตต่อเนื่อง โดยในปี 2565-2567 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ประมาณ 10.7%
ด้วยวิถี New Normal ตลาด On Demand Delivery ยังมีแนวโน้มโตต่อเนื่อง Euro Monitor คาดการณ์ว่า ตลาด Food Delivery ที่มีสัดส่วนสูงในตลาด On Demand Delivery ในไทยจะเติบโตต่อเนื่อง โดยในปี 2565-2567 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ประมาณ 10.7%
ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุค New Normal ที่ใส่ใจต่อสุขอนามัย ทำให้คาดว่าถึงแม้ภาครัฐจะทยอยผ่อนปรนมาตรการการทานอาหารในร้าน แต่ Food Delivery ก็จะยังคงเติบโตได้
-ตลาด On Demand Delivery ที่เติบโต ส่งผลต่อความต้องการไรเดอร์ และตลาดมอเตอร์ไซค์จะได้รับอานิสงส์
จากข้อมูลยอดจดทะเบียนมอเตอร์ไซค์รายจังหวัด พบว่า ตลาดมอเตอร์ไซค์ของไทยยังมีสัดส่วนอยู่ในภูมิภาคมากกว่า 70% และขับเคลื่อนจากรายได้เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยค่อนข้างมาก แต่ในอนาคตตลาด On Demand Delivery ที่มีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่อง จะขยายขอบเขตไปในภูมิภาคมากขึ้นตามลำดับ ทำให้ความต้องการไรเดอร์มีจำนวนมากขึ้นตามไปด้วย
จากข้อมูลยอดจดทะเบียนมอเตอร์ไซค์รายจังหวัด พบว่า ตลาดมอเตอร์ไซค์ของไทยยังมีสัดส่วนอยู่ในภูมิภาคมากกว่า 70% และขับเคลื่อนจากรายได้เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยค่อนข้างมาก แต่ในอนาคตตลาด On Demand Delivery ที่มีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่อง จะขยายขอบเขตไปในภูมิภาคมากขึ้นตามลำดับ ทำให้ความต้องการไรเดอร์มีจำนวนมากขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนั้น คุณสมบัติเบื้องต้นที่แพลตฟอร์มส่วนใหญ่ต้องการ คือ ผู้ที่มาสมัครเป็นไรเดอร์ต้องมีรถมอเตอร์ไซค์เป็นของตัวเอง ซึ่งก็จะส่งผลดีต่อตลาดมอเตอร์ไซค์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งรายงานเรื่อง “ไรเดอร์- ฮีโร่-โซ่ตรวนสภาพการทำงานและหลักประกันทางสังคมของของแรงงานส่งอาหารบนเศรษฐกิจแพลตฟอร์มในสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด 19“ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ระบุว่ารายได้เฉลี่ยของไรเดอร์ทั้งประเทศอยู่ที่ประมาณ 18,000 บาทต่อเดือน หักต้นทุนค่าน้ำมัน ค่าสึกหรอ ค่าอินเตอร์เน็ต เฉลี่ยประมาณ 3,000 บาทต่อเดือน จะเหลือเงินประมาณ 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งรายได้หลังหักต้นทุนนี้อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถผ่อนชำระค่างวดของมอเตอร์ไซค์ที่เหมาะสมกับไรเดอร์ (ไม่เกิน 150 ซีซี และเป็นเกียร์อัตโนมัติ) ซึ่งอยู่ในช่วง 2,035 - 4,207 บาทต่อเดือน 1 หรือคิดเป็น 13.6 - 28.1% ของรายได้หลังหักต้นทุนโดยเฉลี่ย
นอกจากนั้น แพลตฟอร์มหลายแห่ง เช่น Robinhood, Grab ยังมีการสนับสนุนสินเชื่อพิเศษในการซื้อจักรยานยนต์ที่อาจทำให้ภาระต่อเดือนในการซื้อมอเตอร์ไซค์ลดลงได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกต่อตลาดมอเตอร์ไซค์ข้างต้น ก็อาจจะถูกท้าทายด้วยปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ล่าสุดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาส 1 ปี 2564 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 90.5% สูงสุดในรอบ 18 ปี
นอกจากนั้น ตลาดภูมิภาคที่เป็นตลาดหลักของมอเตอร์ไซค์ก็อาจถูกกดดันมากขึ้นไปอีก จากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่อง “X Ray หนี้ครัวเรือนภูมิภาค” ที่ชี้ให้เห็นว่า ภาระหนี้ครัวเรือนในประเทศที่สูงจากส่วนภูมิภาคเป็นหลัก อีกทั้งสัดส่วนครัวเรือนที่มีความเปราะบางสูงก็กระจุกตัวอยู่ในภูมิภาคเช่นเดียวกัน