ส่งออก มิ.ย. ขยายตัวสูงตามการค้าโลกที่ปรับเพิ่มต่อเนื่อง และปัจจัยฐานต่ำ - EIC
23 ก.ค. 2021
มูลค่าการส่งออกเดือนมิถุนายน 2021 ขยายตัวถึง 43.8% (YOY) นับเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงสุด ในรอบ 11 ปี และหากหักทองคำการส่งออกจะขยายตัว 43.4% (YOY)
ทำให้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2021 มูลค่าการส่งออกขยายตัวที่ 15.5% (YOY) และหากไม่รวมทองคำการส่งออกจะเติบโตถึง 22.4% (YOY)
ทั้งนี้ การส่งออกเดือนมิถุนายน ขยายตัวสูงตามการค้าโลกที่ปรับเพิ่มต่อเนื่อง และปัจจัยฐานต่ำ
สอดคล้องกับตัวเลขส่งออกของหลายประเทศทั่วโลก โดยจะเห็นได้ว่านอกจากปัจจัยฐานต่ำแล้ว การส่งออกไทยก็ยังปรับเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง สะท้อนจากระดับมูลค่าส่งออก ที่อยู่สูงกว่าระดับของปี 2019 ซึ่งเป็นปีก่อนจะมีการระบาดของ COVID-19
สอดคล้องกับตัวเลขส่งออกของหลายประเทศทั่วโลก โดยจะเห็นได้ว่านอกจากปัจจัยฐานต่ำแล้ว การส่งออกไทยก็ยังปรับเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง สะท้อนจากระดับมูลค่าส่งออก ที่อยู่สูงกว่าระดับของปี 2019 ซึ่งเป็นปีก่อนจะมีการระบาดของ COVID-19
และหากพิจารณาการเติบโต แบบเทียบกับเดือนก่อนหน้าแบบปรับฤดูกาล ก็พบว่า การส่งออกของไทยกลับมาขยายตัวเล็กน้อยที่ 2.4% (MoM_sa) ซึ่งการขยายตัวดังกล่าวเป็นไปตามทิศทางการค้าโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
สะท้อนจากมูลค่าส่งออกของหลายประเทศส่งออกสำคัญของโลก ล้วนมีอัตราเติบโตสูงมากในช่วงเดือนมิถุนายน
ด้านการส่งออกไทยเป็นรายสินค้า พบว่าการส่งออกสินค้าสำคัญทุกประเภทมีการขยายตัว โดยสินค้าสำคัญ ที่ขยายตัวสูง ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ, ผลไม้สด, แช่เย็น, แช่แข็งและแห้ง, ผลิตภัณฑ์ยาง, เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก
-การส่งออกรถยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวถึง 78.5% (YOY) ขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือนติดต่อกัน
โดยตลาดหลักที่ขยายตัวสูง ได้แก่ เวียดนาม (338.4%) ออสเตรเลีย (70.3%) สหรัฐฯ (154.1%) และมาเลเซีย (305.3%)
โดยตลาดหลักที่ขยายตัวสูง ได้แก่ เวียดนาม (338.4%) ออสเตรเลีย (70.3%) สหรัฐฯ (154.1%) และมาเลเซีย (305.3%)
-ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ขยายตัวมากถึง 185.1% (YOY)
โดยมีตลาดหลักที่ขยายตัวสูงคือ จีน (263.4%) ซึ่งการส่งออกไปจีนคิดเป็น 83.2% ของการส่งออกผลไม้ทั้งหมด
โดยมีตลาดหลักที่ขยายตัวสูงคือ จีน (263.4%) ซึ่งการส่งออกไปจีนคิดเป็น 83.2% ของการส่งออกผลไม้ทั้งหมด
-ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัวที่ 38.1% (YOY) ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือนติดต่อกัน ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน ได้แก่ ยางยานพาหนะ (50.4%) และถุงมือยาง (62.2%)
-การส่งออกเคมีภัณฑ์ ขยายตัวที่ 59.8% (YOY)
โดยมีตลาดหลักที่ขยายตัวสูงคือ จีน (54.3%), เวียดนาม (50.2%) และญี่ปุ่น (106%)
โดยมีตลาดหลักที่ขยายตัวสูงคือ จีน (54.3%), เวียดนาม (50.2%) และญี่ปุ่น (106%)
ขณะที่การส่งออกเม็ดพลาสติก ขยายตัวดีเช่นเดียวกันที่ 50% (YOY)
โดยเฉพาะในตลาดอินเดีย (196.1%), สหรัฐฯ (130.5%), อินโดนีเซีย (106.6%) และเวียดนาม (74.03%)
โดยเฉพาะในตลาดอินเดีย (196.1%), สหรัฐฯ (130.5%), อินโดนีเซีย (106.6%) และเวียดนาม (74.03%)
-เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ขยายตัว 73.1% (YOY) โดยขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5
โดยมีตลาดหลักที่ขยายตัว คือ สหรัฐฯ (144.2%), ญี่ปุ่น (56.4%), จีน (81.2%), อินโดนีเซีย (165.4%) และมาเลเซีย (103.6%)
โดยมีตลาดหลักที่ขยายตัว คือ สหรัฐฯ (144.2%), ญี่ปุ่น (56.4%), จีน (81.2%), อินโดนีเซีย (165.4%) และมาเลเซีย (103.6%)
-เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 21.6% (YOY) จากผลกระทบความต้องการใช้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่บ้านในสถานการณ์ของโควิด โดยขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7
มีตลาดหลักที่ขยายตัว ได้แก่ ฮ่องกง (38.9%), เนเธอร์แลนด์ (47.3%) และสิงคโปร์ (385.2%)
มีตลาดหลักที่ขยายตัว ได้แก่ ฮ่องกง (38.9%), เนเธอร์แลนด์ (47.3%) และสิงคโปร์ (385.2%)
-น้ำมันสำเร็จรูป ขยายตัวถึง 81.9% (YOY) ตามความต้องการใช้พลังงานและน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยมีตลาดหลักที่ขยายตัว เช่น เกาหลีใต้ (1,137.3%), ฟิลิปปินส์ (1,177.7%), มาเลเซีย (199.7%) และกัมพูชา (55.9%)
โดยมีตลาดหลักที่ขยายตัว เช่น เกาหลีใต้ (1,137.3%), ฟิลิปปินส์ (1,177.7%), มาเลเซีย (199.7%) และกัมพูชา (55.9%)
-เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ขยายตัวสูงถึง 83.1% (YOY)
โดยตลาดหลักที่ขยายตัวสูง ได้แก่ สหรัฐฯ (48.3%), ญี่ปุ่น (114.9%), จีน (310%) และอินเดีย (138.3%)
โดยตลาดหลักที่ขยายตัวสูง ได้แก่ สหรัฐฯ (48.3%), ญี่ปุ่น (114.9%), จีน (310%) และอินเดีย (138.3%)
ด้านมูลค่านำเข้า ในเดือนมิถุนายน 2021 ขยายตัว 53.8% (YOY)
ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สอดคล้องกับการส่งออกที่ขยายตัว
ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สอดคล้องกับการส่งออกที่ขยายตัว
โดยเป็นการขยายตัวในทุกหมวดนำเข้าสำคัญ ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง (77.7%) ที่ขยายตัวจากทั้งฐานต่ำและราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงเมื่อเทียบกับปีก่อน, สินค้าทุน (28.5%), สินค้าอุปโภคบริโภค (17.9%) และยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง (98.9%)
ขณะที่การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ขยายตัวเช่นกันที่ 72.9% (YOY) แต่หากหักทองคำจะเหลือขยายตัวที่ 69.4% (YOY)
ทั้งนี้ช่วงครึ่งแรกของปี 2021 การนำเข้าขยายตัวที่ 26.2% (YOY) ทำให้ดุลการค้าในช่วงครึ่งปีแรกเกินดุลที่ 2,439.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (80,330 ล้านบาท)
ในระยะต่อไป การส่งออกยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แต่ต้องติดตามความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบการระบาดในประเทศอาเซียน และปัญหา Supply Disruption ที่อาจเกิดขึ้น
โดยแม้จะมีการระบาดของสายพันธุ์เดลตาเกิดขึ้นทั่วโลก แต่ดัชนี Global PMI: Export orders ก็ยังอยู่ในระดับเกิน 50 สะท้อนว่าการส่งออกยังขยายตัวได้ต่อเนื่องในระยะสั้น
อย่างไรก็ดี การระบาดที่กลับมาอีกครั้ง ได้ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ ต่อประเทศกำลังพัฒนามากกว่า
เนื่องจากมีความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนที่ไม่สูงนัก สะท้อนจาก Manufacturing PMI ของประเทศพัฒนาแล้วที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ของประเทศกำลังพัฒนามีแนวโน้มลดลง จึงเป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตาม
เนื่องจากมีความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนที่ไม่สูงนัก สะท้อนจาก Manufacturing PMI ของประเทศพัฒนาแล้วที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ของประเทศกำลังพัฒนามีแนวโน้มลดลง จึงเป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตาม
โดยเฉพาะการระบาดในอาเซียน ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกไทยจากอุปสงค์ที่ลดลงหรือปัญหา Supply chain disruption ที่อาจเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ในส่วนของไทยเอง ก็มีความเสี่ยงด้าน Supply disruption ที่เกิดจากการปิดโรงงาน
โดยเท่าที่ EIC ได้ติดตามสถานการณ์ พบว่ามีการปิดโรงงานหลายแห่งในช่วงที่ผ่านมา แต่ส่วนใหญ่เป็นการปิดเพียงชั่วคราวเท่านั้น ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตในภาพรวม
โดยเท่าที่ EIC ได้ติดตามสถานการณ์ พบว่ามีการปิดโรงงานหลายแห่งในช่วงที่ผ่านมา แต่ส่วนใหญ่เป็นการปิดเพียงชั่วคราวเท่านั้น ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตในภาพรวม
แต่หากการระบาดส่งผลทำให้โรงงานต้องปิดตัวมากหรือนานขึ้น ก็จะเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อการผลิตเพื่อส่งออก ในระยะข้างหน้า
ในส่วนของปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) ก็ยังเป็นปัจจัยกดดันต่อเนื่อง โดยปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ได้ปรับตัวแย่ลงอีก ในช่วงหลังจากผลกระทบของการระบาดระลอกใหม่ทางตอนใต้ของจีนในเดือนพฤษภาคม 2021
ซึ่งถึงแม้ว่าจะควบคุมการระบาดได้แล้ว แต่ก็ทำให้เกิดความล่าช้าในการบริหารจัดการสินค้า ของท่าเรือเหยียนเทียนและท่าเรือกว่างโจว สะท้อนจากราคาระวางเรือ (Freight) และระยะเวลาการขนส่งสินค้าที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ปัญหาการขาดแคลนชิป ได้ส่งผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรม เช่น โทรศัพท์มือถือ, เครื่องเกม และอุตสาหกรรมยานยนต์
โดยปัญหาดังกล่าว จะยังเป็นปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยกดดันต่อเนื่อง ต่อภาคการส่งออกของไทยและโลก ในช่วงที่เหลือของปีนี้
อ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็ม > https://www.scbeic.com/th/detail/product/7705
ที่มา - Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์