Kagome ผู้ผลิตซอสและน้ำผลไม้เบอร์ 1 ของญี่ปุ่น ที่แสดงจุดยืน เพื่อต่อกรกับจีน
16 เม.ย. 2021
ในขณะที่แบรนด์แฟชั่น ไม่ว่าจะเป็น Nike, Zara, Gap, Uniqlo, H&M
พร้อมใจกันวางเดิมพันครั้งใหญ่ ขอเลือกอุดมการณ์ มากกว่าผลประโยชน์
ลุกขึ้นมาแสดงท่าทีต่อต้านการบังคับใช้แรงงานอุยกูร์ ซินเจียงในจีน
จนเจอกระแสบอยคอตต์จากจีน ทำให้ “ยอดขายเกือบทั้งหมด” ในประเทศจีน หายไปอย่างรวดเร็ว
พร้อมใจกันวางเดิมพันครั้งใหญ่ ขอเลือกอุดมการณ์ มากกว่าผลประโยชน์
ลุกขึ้นมาแสดงท่าทีต่อต้านการบังคับใช้แรงงานอุยกูร์ ซินเจียงในจีน
จนเจอกระแสบอยคอตต์จากจีน ทำให้ “ยอดขายเกือบทั้งหมด” ในประเทศจีน หายไปอย่างรวดเร็ว
ล่าสุด ถึงคิวของ Kagome ผู้ผลิตซอสและน้ำผลไม้ยักษ์ใหญ่ ของญี่ปุ่นออกโรง
ด้วยการประกาศแบนการนำเข้ามะเขือเทศจากซินเจียง ซึ่งเป็นแหล่งปลูกมะเขือเทศที่สำคัญของจีน
ซึ่งจีน ได้ชื่อว่า เป็นแหล่งผู้ผลิตมะเขือเทศรายใหญ่อันดับ 1 ของโลก มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995
ด้วยการประกาศแบนการนำเข้ามะเขือเทศจากซินเจียง ซึ่งเป็นแหล่งปลูกมะเขือเทศที่สำคัญของจีน
ซึ่งจีน ได้ชื่อว่า เป็นแหล่งผู้ผลิตมะเขือเทศรายใหญ่อันดับ 1 ของโลก มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995
พูดถึงแบรนด์ Kagome บางคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ เพราะเข้ามาทำตลาดในบ้านเราพักใหญ่
แต่สำหรับคนญี่ปุ่น Kagome คงคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะแบรนด์มีอายุเก่าแก่ถึง 122 ปี
และยังครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในญี่ปุ่น
ไม่ว่าจะเป็น ซอสมะเขือเทศ ซึ่งเป็นสินค้าเรือธง และน้ำมะเขือเทศ ไปจนถึงน้ำผักรวม
แต่สำหรับคนญี่ปุ่น Kagome คงคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะแบรนด์มีอายุเก่าแก่ถึง 122 ปี
และยังครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในญี่ปุ่น
ไม่ว่าจะเป็น ซอสมะเขือเทศ ซึ่งเป็นสินค้าเรือธง และน้ำมะเขือเทศ ไปจนถึงน้ำผักรวม
แล้ว Kagome มีจุดเริ่มต้นอย่างไร
ทำไมถึงกล้าออกตัวแรง ลุกขึ้นมาต่อกรกับจีน ซึ่งนับเป็นหนึ่งตลาดที่ใหญ่สุดในโลก
ทำไมถึงกล้าออกตัวแรง ลุกขึ้นมาต่อกรกับจีน ซึ่งนับเป็นหนึ่งตลาดที่ใหญ่สุดในโลก
ทั้งที่มีบทเรียนจากแบรนด์ที่เจอทัวร์ลงอย่างหนัก หลังจากออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวกับจีน
ก่อนจะไปหาคำตอบ ต้องย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นของแบรนด์
ซึ่งเป็นผลผลิตจากความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้ ของคุณ Ichitaro Kanie
ซึ่งเป็นผลผลิตจากความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้ ของคุณ Ichitaro Kanie
หลังเสร็จสิ้นภารกิจสงครามจีน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 1
คุณ Ichitaro ได้เดินทางกลับมาที่ญี่ปุ่น พร้อมกับเป้าหมายอันแน่วแน่ในใจว่า จะผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรปลูกมะเขือเทศ
คุณ Ichitaro ได้เดินทางกลับมาที่ญี่ปุ่น พร้อมกับเป้าหมายอันแน่วแน่ในใจว่า จะผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรปลูกมะเขือเทศ
คำถามคือ ทำไมต้องมะเขือเทศ
เพราะ ถ้าย้อนกลับไปในช่วงหลังสงครามครั้งนั้น ซึ่งตรงกับยุคเมจิ
แม้มะเขือเทศ จะเป็นพืชตะวันตก ที่เข้ามาพร้อมกับแครอต กระหล่ำปลี หน่อไม้ และเริ่มมีการใช้เป็นอาหาร
เพราะ ถ้าย้อนกลับไปในช่วงหลังสงครามครั้งนั้น ซึ่งตรงกับยุคเมจิ
แม้มะเขือเทศ จะเป็นพืชตะวันตก ที่เข้ามาพร้อมกับแครอต กระหล่ำปลี หน่อไม้ และเริ่มมีการใช้เป็นอาหาร
แต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยมเท่าไรนัก ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้คุณ Ichitaro ถอดใจ
เพราะเหตุผลที่ทำให้เขาอยากปลูกมะเขือเทศ มาจากคำแนะนำของผู้บังคับบัญชาสมัยประจำการอยู่กองทัพ ที่บอกกับเขาว่า เกษตรกรจะพึ่งพาแต่การปลูกข้าวไม่ได้อีกต่อไป แต่ต้องหันมาปลูกพืชผักของตะวันตกบ้าง
เพราะเหตุผลที่ทำให้เขาอยากปลูกมะเขือเทศ มาจากคำแนะนำของผู้บังคับบัญชาสมัยประจำการอยู่กองทัพ ที่บอกกับเขาว่า เกษตรกรจะพึ่งพาแต่การปลูกข้าวไม่ได้อีกต่อไป แต่ต้องหันมาปลูกพืชผักของตะวันตกบ้าง
ดังนั้น เขาจึงคิดว่า อยากจะปลูกมะเขือเทศจริงจัง โดยใช้สวนของที่บ้านเป็นแปลงทดลอง
อย่างไรก็ตาม ถึงจะปลูกได้สำเร็จ แต่ก็ขายไม่ได้ เพราะด้วยรูปลักษณ์ที่มีสีแดง ต่างจากผักใบเขียวที่คุ้นเคยแถมกลิ่นยังค่อนข้างแรง จึงไม่เป็นที่อภิรมย์ในหมู่ชาวญี่ปุ่นเท่าไร
ผลผลิตในช่วงแรกของคุณ Ichitaro จึงถูกทิ้งให้เน่า มากกว่าจะแปรสภาพเป็นเงิน
อย่างไรก็ตาม ถึงจะปลูกได้สำเร็จ แต่ก็ขายไม่ได้ เพราะด้วยรูปลักษณ์ที่มีสีแดง ต่างจากผักใบเขียวที่คุ้นเคยแถมกลิ่นยังค่อนข้างแรง จึงไม่เป็นที่อภิรมย์ในหมู่ชาวญี่ปุ่นเท่าไร
ผลผลิตในช่วงแรกของคุณ Ichitaro จึงถูกทิ้งให้เน่า มากกว่าจะแปรสภาพเป็นเงิน
แต่คุณ Ichitaro ไม่ยอมแพ้
ในระหว่างนั้น เขาไปทำงานชั่วคราวที่สถานีทดลองเกษตรใน จ.ไอชิ
เขาได้เรียนรู้เทคนิคการปลูกมะเขือเทศ และยังได้ไขปริศนาสำคัญที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจในเวลาต่อมา เมื่อเขาได้รับซอสมะเขือ แบบที่ชาวตะวันตกกินกัน เป็นของขวัญ
ในระหว่างนั้น เขาไปทำงานชั่วคราวที่สถานีทดลองเกษตรใน จ.ไอชิ
เขาได้เรียนรู้เทคนิคการปลูกมะเขือเทศ และยังได้ไขปริศนาสำคัญที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจในเวลาต่อมา เมื่อเขาได้รับซอสมะเขือ แบบที่ชาวตะวันตกกินกัน เป็นของขวัญ
เขารู้ทันทีว่า จริง ๆ แล้ว ชาวตะวันตกไม่ได้กินแต่มะเขือเทศสด แต่ยังกินมะเขือเทศที่ผ่านการแปรรูปด้วย
หลังจากได้ลิ้มรสชาติ เขาพยายามแกะสูตร ลองผิดลองถูก
จนในที่สุด ก็ผลิตซอสมะเขือเทศสำเร็จในแบบฉบับของตัวเอง ในปี ค.ศ. 1903
ที่น่าสนใจคือ ซอสที่ผลิตจากมะเขือเทศในสวน และโรงนาในบ้านของคุณ Ichitaro มีสีสันที่สวยกว่าต้นแบบ และรสชาติที่ถูกปาก ทำให้เมื่อเริ่มวางขาย ก็เป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น
จนในที่สุด ก็ผลิตซอสมะเขือเทศสำเร็จในแบบฉบับของตัวเอง ในปี ค.ศ. 1903
ที่น่าสนใจคือ ซอสที่ผลิตจากมะเขือเทศในสวน และโรงนาในบ้านของคุณ Ichitaro มีสีสันที่สวยกว่าต้นแบบ และรสชาติที่ถูกปาก ทำให้เมื่อเริ่มวางขาย ก็เป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น
ผ่านไป 3 ปี ธุรกิจที่มียอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
คุณ Ichitaro จึงตัดสินใจตั้งโรงงาน เพื่อขยายกำลังการผลิต และจดทะเบียนในรูปแบบบริษัท
นอกจากนี้ ยังริเริ่มระบบ Contact Farming หรือ การทำสัญญาซื้อขายผลผลิตล่วงหน้ากับเกษตรกร ซึ่งยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน
คุณ Ichitaro จึงตัดสินใจตั้งโรงงาน เพื่อขยายกำลังการผลิต และจดทะเบียนในรูปแบบบริษัท
นอกจากนี้ ยังริเริ่มระบบ Contact Farming หรือ การทำสัญญาซื้อขายผลผลิตล่วงหน้ากับเกษตรกร ซึ่งยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน
ในตอนแรกบริษัทที่คุณ Ichitaro ตั้งขึ้น ยังไม่ได้ใช้ชื่อว่า Kagome แต่มาเปลี่ยนในภายหลัง
ซึ่ง Kagome มีความหมายว่า ตะกร้าสานที่ใช้ในการเก็บผลผลิตของชาวญี่ปุ่น
ซึ่ง Kagome มีความหมายว่า ตะกร้าสานที่ใช้ในการเก็บผลผลิตของชาวญี่ปุ่น
ช่วงที่ธุรกิจกำลังไปได้ดี คุณ Ichitaro ก็ยังไม่หยุดค้นคว้าและวิจัย เพื่อพัฒนาสายพันธุ์มะเขือเทศ
และยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง
และยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็น การเปิดตัว ซอสมะเขือเทศบรรจุในขวดพลาสติก ในปี ค.ศ. 1966
ซึ่ง Kagome เคลมว่าเป็นครั้งแรกของโลก
หลังจากนั้น ยังมีการขยายกิจการออกไปตั้งบริษัทในหลายประเทศ
ประเดิมที่ไต้หวันเป็นประเทศแรก ก่อนจะขยายไปยังสหรัฐฯ และออสเตรเลีย
ซึ่ง Kagome เคลมว่าเป็นครั้งแรกของโลก
หลังจากนั้น ยังมีการขยายกิจการออกไปตั้งบริษัทในหลายประเทศ
ประเดิมที่ไต้หวันเป็นประเทศแรก ก่อนจะขยายไปยังสหรัฐฯ และออสเตรเลีย
นอกจากนี้ ยังมีการกระจายแหล่งเพาะปลูกไปยังภูมิภาคต่าง ๆ
อาทิ โปรตุเกส สเปน อิตาลี ตุรกี ญี่ปุ่น จีน ออสเตรเลีย สหรัฐฯ ชิลี และบราซิล
อาทิ โปรตุเกส สเปน อิตาลี ตุรกี ญี่ปุ่น จีน ออสเตรเลีย สหรัฐฯ ชิลี และบราซิล
เพราะ Kagome เชื่อว่า ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จากญี่ปุ่นเพียงอย่างเดียว
แต่มาจากการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดจากทั่วโลก
แต่มาจากการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดจากทั่วโลก
ปัจจุบัน Kagome มีการแตกไลน์สินค้ามาสู่ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ นอกเหนือจากซอสมะเขือเทศ
ไม่ว่าจะเป็น น้ำมะเขือเทศ น้ำผักรวม น้ำผักและผลไม้รวม ไปจนถึงผลิตภัณฑ์เกษตร
ไม่ว่าจะเป็น น้ำมะเขือเทศ น้ำผักรวม น้ำผักและผลไม้รวม ไปจนถึงผลิตภัณฑ์เกษตร
แล้วถ้าถามว่า ทุกวันนี้ Kagome
ธุรกิจที่เริ่มจากสวนในบ้าน ปัจจุบันเติบโตจนมีขนาดใหญ่แค่ไหน ?
ธุรกิจที่เริ่มจากสวนในบ้าน ปัจจุบันเติบโตจนมีขนาดใหญ่แค่ไหน ?
Kagome ตอนนี้มีมูลค่าบริษัทประมาณ 90,000 ล้านบาท
ซึ่งถ้าเทียบกับบริษัทในประเทศไทย ก็จะใหญ่กว่า เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุ ที่มีมูลค่าบริษัทประมาณ 84,000 ล้านบาท
ซึ่งถ้าเทียบกับบริษัทในประเทศไทย ก็จะใหญ่กว่า เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุ ที่มีมูลค่าบริษัทประมาณ 84,000 ล้านบาท
กลับมาที่ กรณีการออกมาต่อกรกับจีนล่าสุด ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า อาจเป็นเกมการเมือง
เนื่องจาก การแสดงจุดยืนดังกล่าว มีขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะมีการประชุมร่วมกัน ระหว่างผู้นำญี่ปุ่นและสหรัฐฯ
จึงเป็นไปได้ว่า ญี่ปุ่นอาจต้องการเอาใจสหรัฐฯ
เนื่องจาก การแสดงจุดยืนดังกล่าว มีขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะมีการประชุมร่วมกัน ระหว่างผู้นำญี่ปุ่นและสหรัฐฯ
จึงเป็นไปได้ว่า ญี่ปุ่นอาจต้องการเอาใจสหรัฐฯ
และถ้าถามว่า ท่าทีครั้งนี้จะสร้างแรงกระเพื่อมที่รุนแรง เหมือนที่เกิดกับบรรดาแบรนด์แฟชั่นหรือไม่
คำตอบคือ ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะแม้ Kagome จะนำเข้ามะเขือเทศจากซินเซียง
แต่ก็คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% ของปริมาณวัตถุดิบทั้งหมดที่ใช้
คำตอบคือ ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะแม้ Kagome จะนำเข้ามะเขือเทศจากซินเซียง
แต่ก็คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% ของปริมาณวัตถุดิบทั้งหมดที่ใช้
ที่สำคัญ ถ้าดูจากกลยุทธ์ของ Kagome ซึ่งมีการกระจายความเสี่ยง ด้วยการกระจายแหล่งปลูกมะเขือเทศไปใน 10 ประเทศทั่วโลก ก็หมายความว่า ต่อให้ไม่นำเข้ามะเขือเทศจากจีน ก็นำเข้าจากประเทศอื่นแทนได้
มาดูในเชิงยอดขายของบริษัท
ที่ในปี 2020 มีรายได้อยู่ 53,000 ล้านบาท
ที่ในปี 2020 มีรายได้อยู่ 53,000 ล้านบาท
ซึ่งในตลาดจีน จะคิดเป็นเพียง 0.4% ของรายได้ทั้งหมดเท่านั้น
ก็เท่ากับว่า ถ้าโดนจีนบอยคอตต์ตอบโต้ รายได้ก็จะหายไปประมาณ 212 ล้านบาท
ก็เท่ากับว่า ถ้าโดนจีนบอยคอตต์ตอบโต้ รายได้ก็จะหายไปประมาณ 212 ล้านบาท
ซึ่งถือว่าไม่สาหัสเท่ากับ บรรดาแบรนด์แฟชั่น ที่มียอดขายจากประเทศจีน ค่อนข้างมาก
Nike มีรายได้จากจีน 2.0 แสนล้านบาทต่อปี คิดเป็น 18% ของรายได้ทั้งหมด
Adidas มีรายได้จากจีน 1.6 แสนล้านบาทต่อปี คิดเป็น 24% ของรายได้ทั้งหมด
Uniqlo มีรายได้จากจีน 1.3 แสนล้านบาทต่อปี คิดเป็น 23% ของรายได้ทั้งหมด
H&M มีรายได้จากจีน 0.4 แสนล้านบาทต่อปี คิดเป็น 5% ของรายได้ทั้งหมด
Adidas มีรายได้จากจีน 1.6 แสนล้านบาทต่อปี คิดเป็น 24% ของรายได้ทั้งหมด
Uniqlo มีรายได้จากจีน 1.3 แสนล้านบาทต่อปี คิดเป็น 23% ของรายได้ทั้งหมด
H&M มีรายได้จากจีน 0.4 แสนล้านบาทต่อปี คิดเป็น 5% ของรายได้ทั้งหมด
หลังจากนี้ เรื่องการออกมาแสดงจุดยืนของแบรนด์ต่าง ๆ อาจจะมีให้เห็นเรื่อย ๆ
แต่สุดท้ายแล้ว การที่แบรนด์นั้น ๆ ได้ออกมาส่งเสียง เพื่อแสดงจุดยืนต่อผู้บริโภค
อาจเพราะว่า แบรนด์ได้พิจารณาแล้วว่า
การไม่ออกมาแสดงจุดยืนใด ๆ เลย
อาจส่งผลเสียในระยะยาวต่อแบรนด์มากกว่า การแสดงจุดยืนที่ชัดเจน ในวันนี้ ก็เป็นได้..
อาจเพราะว่า แบรนด์ได้พิจารณาแล้วว่า
การไม่ออกมาแสดงจุดยืนใด ๆ เลย
อาจส่งผลเสียในระยะยาวต่อแบรนด์มากกว่า การแสดงจุดยืนที่ชัดเจน ในวันนี้ ก็เป็นได้..