Gucci มองเห็นอะไร ในการร่วมมือกับ โดราเอมอน
24 ธ.ค. 2020
โดยปกติแล้ว เรามักจะเห็นการร่วมมือระหว่างแบรนด์เนมหรู กับตัวการ์ตูนสัญชาติอเมริกัน อย่างเช่น Mickey Mouse หรือ Winnie the pooh
และสำหรับการ์ตูนสัญชาติญี่ปุ่น เราคงจะคุ้นเคยกับการร่วมมือกันระหว่างสตรีตแบรนด์สัญชาติเดียวกัน เช่น Uniqlo x Studio Ghibi
โดยในความเข้าใจของหลายๆ คน อาจมองว่าการ์ตูนญี่ปุ่นนั้น ยังไม่เป็นที่รู้จักและเข้าถึงของชาวตะวันตก
และหากแบรนด์หรูระดับโลกนำสร้างแคมเปญการตลาด ก็จะทำให้ความหรูหรานั้น ดูด้อยค่าลงไป..
และหากแบรนด์หรูระดับโลกนำสร้างแคมเปญการตลาด ก็จะทำให้ความหรูหรานั้น ดูด้อยค่าลงไป..
แต่ความคิดในมุมมองนี้ อาจไม่ใช่แนวคิดของแบรนด์เนมสุดหรูอย่าง “Gucci”
เพราะสิ่งที่ Gucci เลือกทำนั้น แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เพราะสิ่งที่ Gucci เลือกทำนั้น แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
นั่นคือการร่วมมือกับตัวละครการ์ตูนสุดอมตะสัญชาติญี่ปุ่น อย่าง “โดราเอมอน”
ที่ได้เปิดตัวไปในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กับคอลเลกขัน “Doraemon x Gucci”
ที่ได้เปิดตัวไปในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กับคอลเลกขัน “Doraemon x Gucci”
โท้ตแบ็กหนังตัดต่อลายโมโนแกรม GG
ที่พิมพ์ลายตัวการ์ตูนโดราเอมอนในหลากหลายท่าทาง
ที่พิมพ์ลายตัวการ์ตูนโดราเอมอนในหลากหลายท่าทาง
โดยคอลเลกชันนี้ Gucci ได้ให้ “อเลสซานโดร มิเคเล” นักออกแบบผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์เนม Gucci ในหลายๆ คอลเลกชัน
ได้สร้างสรรค์ผลงานลายเส้นดั้งเดิมของโดราเอมอนในยุค 70s ของอาจารย์ฟูจิโกะ ลงไปบนกระเป๋า และเสื้อผ้าที่คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของ Gucci จึงทำให้เกิดความหรูหราที่ดูสนุกสนาน ได้อย่างลงตัว
ได้สร้างสรรค์ผลงานลายเส้นดั้งเดิมของโดราเอมอนในยุค 70s ของอาจารย์ฟูจิโกะ ลงไปบนกระเป๋า และเสื้อผ้าที่คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของ Gucci จึงทำให้เกิดความหรูหราที่ดูสนุกสนาน ได้อย่างลงตัว
แล้วเพราะเหตุใด Gucci ถึงเลือกที่จะร่วมมือกับ การ์ตูนโดราเอมอน ?
-ประการแรก โดราเอมอน คือความแปลกใหม่ ในสายตาของแบรนด์เนมหรู ฝั่งยุโรป
-ประการที่สอง โดราเอมอนคือตัวการ์ตูนที่ไม่มีอายุขัย แล้วอยู่ได้ทุกยุค ทุกสมัย ถึงแม้จะไม่มีการตีพิมพ์หนังสือการ์ตูนเพิ่มแล้วก็ตาม และถ้าถามเด็กรุ่นใหม่ คงไม่มีใคร ไม่รู้จักโดราเอมอน..
-ประการที่สาม การรุกตลาดเอเชีย ด้วยการดึงความทรงจำในวัยเด็ก ของผู้มีกำลังซื้อชาวเอเชียที่อยู่ในยุคเจเนอเรชัน X และ Y มาปรากฏอยู่ในเสื้อผ้า และกระเป๋า
-ประการที่สี่ Gucci มีความเชื่อในเรื่องของ ความภักดีของคนกับตัวละครการ์ตูน
ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ ยินดีพร้อมที่จะใช้จ่าย เพื่อที่จะได้สะสมในสิ่งที่พวกเขารัก
ที่สำคัญ ไม่ได้มีแค่ Gucci เท่านั้น ที่มีการนำตัวการ์ตูนสัญชาติญี่ปุ่น เข้ามาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์
แต่แบรนด์หรูสุดดัง เช่น Balenciaga ก็ยังมีการนำตัวละคร “Hello Kitty” มาอยู่ในรูปแบบกระเป๋าถือผู้หญิง โดยมีราคาสูงถึง 51,000 บาทต่อใบเลยทีเดียว
แต่แบรนด์หรูสุดดัง เช่น Balenciaga ก็ยังมีการนำตัวละคร “Hello Kitty” มาอยู่ในรูปแบบกระเป๋าถือผู้หญิง โดยมีราคาสูงถึง 51,000 บาทต่อใบเลยทีเดียว
ดังนั้น ต่อจากนี้ไป ในโลกของการตลาด
อาจทำให้เราได้เห็นการนำตัวการ์ตูนสัญชาติญี่ปุ่น มาสร้างสีสันในวงการแบรนด์หรูระดับโลกกันมากขึ้น
อาจทำให้เราได้เห็นการนำตัวการ์ตูนสัญชาติญี่ปุ่น มาสร้างสีสันในวงการแบรนด์หรูระดับโลกกันมากขึ้น